TMB ประเมินการฟื้นตัวของธุรกิจหลังปลดล็อกดาวน์ มีทั้งธุรกิจคาดว่าจะฟื้นตัวเร็วภายใน 3 เดือน จนถึงฟื้นช้ามากกว่า 6 เดือนขึ้นไป แนะภาครัฐพิจารณามาตรการเยียวยาหลังโควิดตามระดับการฟื้นตัว
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) ประเมินแนวโน้มลักษณะการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ หลังจากภาครัฐ หลังการทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ โดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. ความน่าจะเป็นในการทยอยปลดล็อก ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก และความจำเป็นของลักษณะสินค้าต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้บริโภค 2. ปัจจัยเสี่ยงด้านโครงสร้างธุรกิจที่มีอยู่เดิม และมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบอย่างหนักแม้ปลดล็อกดาวน์ เนื่องจากกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ 2 ปัจจัยดังกล่าว พบว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจหลังปลดล็อกดาวน์ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มการฟื้นตัว ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ V-Shape (ภายใน 3 เดือน)
ธุรกิจที่ฟื้นตัวเร็ว ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค, บรรจุภัณฑ์, โรงพยาบาล คลินิกและยารักษาโรค, ฟาร์มไก่, ฟาร์มหมู, อาหารสัตว์, ไอทีและสื่อสาร เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และส่วนใหญ่พึ่งพิงตลาดในประเทศ
ผลของการฟื้นตัวที่เร็ว ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ยังคงการจ้างงานที่มีอยู่จำนวน 4.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 29.6% ของการจ้างงานรวมของภาคธุรกิจที่จดทะเบียนธุรกิจ โดยอยู่ในธุรกิจผลิต-ขายปลีก ขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด รองลงมา เป็นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ และผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
- กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ U-Shape (ในช่วง 3-6 เดือน)
ธุรกิจในกลุ่มนี้ ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์ พลังงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางบกและทางเรือ บริการธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง โดยจะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจากการคลายล็อกดาวน์ของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ต้องอาจใช้เวลาพอสมควรกว่าการคลายล็อกดาวน์จะครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
TMB คาดการณ์ว่า การฟื้นตัวในช่วง 3-6 เดือน จะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ทยอยจ้างงานเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนข้าง จากการจ้างงานปกติอยู่ที่ 6.4 ล้านคน หรือมีสัดส่วน 39.5% กระจายตัวไปในธุรกิจบริการทางธุรกิจ รับเหมาก่อสร้างและอาหารเครื่องดื่ม
- กลุ่มธุรกิจฟื้นแบบ L-Shape (มากกว่า 6 เดือน)
สำหรับธุรกิจในกลุ่มที่ฟื้นตัวช้า ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจการบิน ธุรกิจบันเทิงและการกีฬา ยานยนต์และชิ้นส่วน อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าแฟชัน เหล็ก ยางพารา โดยคาดว่าจะฟื้นตัวไม่ทันปีนี้ แม้ว่าปลดล็อกดาวน์แล้วก็ตาม เนื่องจากยังคงได้ผลกระทบจากโควิด จากมาตการรัฐและพฤติกรรมของผู้คนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและติดเชื้อ
ธุรกิจกลุ่มนี้ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านกำลังซื้อที่หดหายไป รวมถึงปัจจัยเสี่ยงภายในธุรกิจจากภัยธรรมชาติ การแข่งขันภายในธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี กฎระเบียบของภาครัฐ ฯลฯ โดยคาดว่าในปี 2564 ธุรกิจเหล่านี้จะกลับจ้างงานได้ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ที่จำนวน 5 ล้านคน หรือมีสัดส่วน 30.9% กระจายไปอยู่ในธุรกิจร้านโรงแรมร้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มยานยนต์
จากการที่ระยะเวลาการฟื้นตัวแต่ละธุรกิจไม่เท่ากัน ดังนั้นผู้ประกอบการมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมรับกับลักษณะการฟื้นตัวและกำหนดกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น ถ้าธุรกิจฟื้นตัวแบบ V-Shape อาจจะพิจารณาให้ฝ่ายการตลาดเริ่มพูดคุยกับลูกค้าถึงสินค้าที่จะขายและเริ่มมองหาตลาดใหม่เพิ่มเติม
หากธุรกิจฟื้นตัวแบบ U-Shape อาจจะพิจารณาจัดการแผนการผลิตและการตลาดในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงใช้ช่องทางการขายออนไลน์มากขึ้น
กรณีของธุรกิจฟื้นตัวแบบ L-Shape จำเป็นต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะเป็นธุรกิจที่ตกที่นั่งลำบาก เพราะสิ่งที่เผชิญไม่ใช่แค่โรคระบาดโควิด-19 แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างธุรกิจอุตสาหกรรมและปัญหากำลังซื้อต่อสินค้าลดลง ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการทำงานให้มีประสิทธิภาพพร้อมทั้งลดต้นทุนให้มากที่สุด เพื่อจะฟื้นกลับมาได้เร็วในปีหน้า
ที่สำคัญคือ ภาครัฐ สามารถนำลักษณะการฟื้นตัวของ 3 กลุ่มธุรกิจข้างต้น ไปกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างให้เหมาะสมตามการฟื้นตัวได้ด้วยเช่นกัน
- ‘เลขาฯสมช.’ แจงผ่อนปรนระยะที่ 2 เสี่ยง! แต่ยังควบคุมได้
- โควิด-19 ทุบ ‘ไมเนอร์’ ขาดทุน 1,700 ล้าน มุ่งตุนสภาพคล่อง เลื่อนลงทุน
- ห้าง ‘New Normal’ หลังเปิดรอบใหม่ ‘ไร้สัมผัส-เว้นระยะห่าง’