แม้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางเติบโต โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2560 ขยายตัว 3.9% คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2561 เติบโต 3.6-4.6%
แต่ดูเหมือนกำลังซื้อกลุ่มสินค้าอุบโภคบริโภค (FMCG) ยังไม่สะท้อนการฟื้นตัว ตามทิศทางจีดีพี ทั้งปีที่ผ่านมาและปีนี้
กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) ผู้วิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคเชิงลึก ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอัตราการหมุนเวียนสูง หรือ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) รายงาน กำลังซื้ออุปโภคบริโภค ปี 2557 เติบโต 2.6 % ปี 2558 เติบโต 2.2% ปี 2559 เติบโต 1.7% และปี 2560 ติดลบ 0.4%
อิษณาติ วุฒิธนากุล ผู้อำนวยการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) กล่าวว่าในภาวะเศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อขยายตัวปกติ ตลาดอุปโภคบริโภคจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% แต่นับตั้งแต่ปี 2557 การขยายตัวต่ำกว่า 3% มาอย่างต่อเนื่อง
ตลาดอุปโภคบริโภค ปี 2560 ติดลบ 0.4% จากตลาดรวม 4.42 แสนล้านบาท เป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี หรือนับจากปี หากแยกตามกลุ่มสินค้า พบว่า กลุ่มของใช้ในครัวเรือน (Home Care) เติบโต 4.1% กลุ่มสินค้าส่วนบุคคล เติบโต 2.6% และ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ติดลบ 2.4%
แม้คาดการณ์จีดีพี ปีนี้ เติบโต 4% เป็นการขยายตัวจากการลงทุนเมกะ โปรเจค ภาครัฐ ซึ่งยังไม่สะท้อนมายังครัวเรือนไทยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงมองว่ากำลังซื้ออุปโภคบริโภคปีนี้ ยังไม่กลับมาฟื้นตัว
ในปี 2561 และปี 2562 ยังจะเป็นปีที่ยากลำบาก โดยเฉพาะธุรกิจ 2 กลุ่มหลัก คือ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและผู้ประกอบการค้าปลีก จากกำลังซื้อครัวเรือนไทยยังไม่ฟื้นตัว คาดว่าช่วง 2 ปีจากนี้ ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค จะเติบโตสูงสุด 2% และต่ำสุด ติดลบ 1%
ปีนี้จะเป็นปีที่มีอัตราเติบโตต่ำอีกปีหนึ่ง เป็นผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภคใน 3 ปัจจัย สำคัญ คือ
1.การลดจำนวนทริปในการออกไปจับจ่าย ถึงแม้ผู้ค้าปลีกจำเป็นต้องออกโปรโมชั่นมากขึ้น ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นให้เพิ่มความถี่ในการออกมาจับจ่ายได้ เพราะกลุ่มนักช้อปมีพฤติกรรมชอบเปลี่ยนแหล่งช้อปปิงไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหา สินค้าและโปรโมชั่น ตลอดจนจุดจับจ่ายที่ให้ ความคุ้มและประหยัดเงินที่สุด
2.การขยายสาขาของผู้ประกอบการค้าปลีก ทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้นเป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันอย่างหนักในการนำเสนอโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเลือกจุดจับจ่าย
3.ตัดกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นออก เหล่านักช้อปยุคปัจจุบันมีการวางแผนการซื้อมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภท Package Grocery โดยจะเลือกซื้อกลุ่มสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีความต่าง และหลากหลาย ที่จะส่งผลกระทบต่อยอดขายของแบรนด์สินค้า โดยตรง
ส่วนตลาดตัวเมืองและตลาดชนบท นั้น จากผลสำรวจพบว่า เหล่านักช้อป โดยเฉพาะ ผู้ที่อยู่ในตัวเมืองนิยมทำการจับจ่ายไปทั่ว เพื่อให้ประหยัดที่สุด ผู้ประกอบการค้าปลีก รวมถึง รูปแบบการค้าปลีกขนาดใหญ่ ยังคงใช้กลยุทธ์การอัดโปรโมชั่น เพื่อดึงดูดเหล่านักช้อป
ขณะที่การแย่งชิงผู้บริโภคด้วยการขยายสาขาเพื่อบริการที่ครอบคลุมเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อ ให้เกิดความสะดวกสบายที่สุด เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มนักช้อปในตัวเมืองนั้น นอกเหนือจะลดความถี่ในการออกไปจับจ่ายแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงไม่ยึดติดกับการซื้อในจุดเดิมๆ แต่กลับเลือกจุดจับจ่ายไปทั่ว ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้เหล่าผู้ค้าปลีกเกิดการแข่งขันในการขยายจุดขาย