ท่ามกลางการแข่งขันสูงในอุตสาหกรรมสื่อทีวีดิจิทัล ที่มีจำนวนช่องฟรีทีวีเพิ่มขึ้น จาก 6 ช่องเป็น 22 ช่อง ส่งผลให้เวลาโฆษณาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ปัจจุบันทีวีดิจิทัลมีเวลาเหลือขายเกือบทุกช่อง ในอัตราแตกต่างกันตั้งแต่ 50-70% ส่งผลกระทบต่อการหารายได้ของทีวีดิจิทัลลดลง!!
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 2 ช่อง คือ เอ็มคอท เอชดี 30 และ เอ็มคอท แฟมิลี่ ช่อง 14 ที่ต้องเผชิญการแข่งขันสูงในยุคทีวีดิจิทัล ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจทีวีลดลงต่อเนื่อง อีกทั้งแหล่งรายได้จากสัมปทานช่อง 3 และเคเบิลทีวี ทรูวิชั่นส์ ที่มีรายได้ต่อปีรวม 300 ล้านบาท กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2563 จึงเป็นโจทย์สำคัญให้ ‘อสมท’ ต้องมองหาโอกาสสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ ซึ่งอยู่ภายใต้การทำงานของ ‘สำนักพัฒนาธุรกิจ’
จับมือ‘ตลาดต่อยอด’เปิด MCOT MART
นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหนึ่งในยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน อสมท คือการเดินหน้า diversify องค์กร เพื่อพัฒนาธุรกิจใหม่ ที่สร้างรายได้ระยะยาวให้ อสมท โดยใช้จุดแข็งการมีสื่อครบวงจรมาช่วยสนับสนุน
มองว่าหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ภายใต้แนวคิด Thailand 4.0 คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสร้างรายได้จากสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศ อสมท เล็งเห็น ศักยภาพ ในการผลิตสินค้าของกลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ของไทยในการเจาะตลาดอาเซียน จึงได้สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มเอสเอ็มอี ผ่านสื่อต่างๆของ อสมท ทั้งช่อง 9 เอ็มคอท เอชดี, ช่องเอ็มคอท แฟมิลี่ และเครือข่ายสถานีวิทยุ อสมท ปัจจุบันมีฐานข้อมูลของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เคยร่วมออกรายการในสื่อของ อสมท กว่า 1,000 ราย
ดังนั้น อสมท จึงได้ร่วมกับกลุ่มบริษัท แอสเสทเวิร์ด คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการ ‘ตลาดต่อยอด’ (AEC Trade Center) บนพื้นที่ 160 ไร่ ห่างจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 7 กม. ถือเป็นหนึ่งในตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน บนพื้นที่การค้ากว่า 3 แสนตารางเมตร ให้บริการศูนย์ค้าส่งทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
อสมท ได้เจรจาธุรกิจ กับกลุ่มบริษัทแอสเสทเวิร์ดฯ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มอี โดย อสมท ได้รับการสนับสนุนพื้นที่บริเวณอาคาร 2 ชั้น 1 ในโครงการตลาดต่อยอด พื้นที่รวม 300 ตารางเมตร เพื่อดำเนินโครงการ “MCOT MART” ซึ่งจะเป็นหน้าร้านขายสินค้า ที่เปิดให้กลุ่มเอสเอ็มอี ที่มีศักยภาพในการส่งออกสินค้าจองพื้นที่วางจำหน่ายสินค้ากลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ขนม และเครื่องอุปโภคต่างๆ ผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชน
โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เข้าร่วมโครงการจะมีค่าใช้จ่ายแรกเข้า 5,000 บาท เพื่อนำสินค้ามาวางจำหน่ายที่ MCOT MART โดยมีผู้จัดการร้านคอยรับออร์เดอร์ และตลาดต่อยอดเป็นผู้จัดส่งสินค้า รวมทั้งสามารถนำสินค้าขึ้นระบบออนไลน์เพื่อส่งออกไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศอาเซียน นอกจากสื่อในเครือ อสมท จะประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวให้เป็นที่รู้จัก
ขณะนี้มีกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สนใจจองพื้นที่ MCOT MART แล้วกว่า 100 ราย คาดว่าหลังจากตลาดต่อยอดเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ปีนี้จะมีผู้จองพื้นที่เพิ่มขึ้น วางเป้าหมายไว้ที่ 200-300 ราย โดย อสมท จะมีรายได้จากส่วนแบ่งยอดขายสินค้าของกลุ่มเอสเอ็มอีที่อยู่ในโครงการ MCOT MART
แตกธุรกิจเทรดดิ้ง-ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
นายเขมทัตต์ กล่าวต่อว่าการดำเนินโครงการ MCOT MART เป็นการชิมลางเพื่อเรียนรู้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ และเทรดดิ้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ ให้กับองค์กร คาดว่าจะมีรายได้ ในปีแรก (ปี 2562) 20 ล้านบาท รวมทั้งสามารถต่อยอดการจัดกิจกรรมสัมมนา, โรดโชว์แสดงสินค้า
การแข่งขันสูงในธุรกิจทีวีดิจิทัล ทำให้ช่อง 9 เอ็มคอท เอชดี มีเวลาโฆษณาเหลือ 70% อสมท จึงต้องนำเวลาดังกล่าวมาสร้างโอกาสหารายได้จากการพัฒนาธุรกิจใหม่ เช่น โครงการ MCOT MART หากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในโครงการเติบโต กลุ่มนี้มีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าโฆษณาสินค้าในสื่อทีวีดิจิทัล ของ อสมท ด้วยเช่นกัน
นอกจากการขยายธุรกิจเทรดดิ้ง โครงการ MCOT MART แล้ว ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ อสมท จะลงนามความร่วมมือ (MOU) กับผู้ประกอบการกลุ่มพลังงาน ผู้ผลิตโซลาร์รูฟท็อป เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้ลูกค้ากลุ่มครัวเรือนต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งดูแลด้านบริการหลังการขาย ภายใต้ธุรกิจ “เอ็ม โซลาร์” เนื่องจาก อสมท มีทีมวิศวกร ที่อยู่ในสถานีส่งสัญญาณทั่วประเทศ 200-300 คน ซึ่งเป็นทีมที่มีความสามารถในการติดตั้งและดูแลอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ ที่กำลังได้รับความนิยมในการติดตั้งจากครัวเรือนไทย และปัจจุบันมีผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ จำนวนมาก แต่ขาดวิศวกรที่จะมาดูแลการติดตั้งและรักษาระบบ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นอีกบริการที่สร้างรายได้ให้กับ อสมท
นักลงทุนไทย-ตปท.สนใจโปรเจคที่ดิน 50 ไร่
นายเขมทัตต์ กล่าวอีกว่าสำหรับโครงการพัฒนาที่ดิน 50 ไร่ ติดศูนย์วัฒนธรรม ของ อสมท ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศที่ให้ความสนใจร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว ซึ่งมีกว่า 10 ราย โดยกลุ่มนักลงทุนไทยที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างสนใจโปรเจคนี้ เนื่องจากเป็นที่ดินทำเลศักยภาพ ส่วนนักลงทุนต่างชาติมี 3 ราย คือ จีน เกาหลี และอังกฤษ คาดว่าอีก 2 เดือนจะแต่งตั้งที่ปรึกษาโครงการเพื่อศึกษาการลงทุนที่เหมาะสม จากนั้นเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการ ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ
‘ตลาดต่อยอด’เล็งลงทุนแม่สอด
ทางด้าน นายธนฑิต เจริญจันทร์ เจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท แอสเสท เวิรด์คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่าสำหรับโครงการ ตลาดต่อยอด เออีซี เทรด เซนเตอร์ เป็นศูนย์ค้าส่งแห่งแรกของประเทศไทยและใหญ่ที่สุดบนภูมิภาคอาเซียน ขณะที่การก่อสร้างดำเนินการไปแล้ว 90% คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้
ในโครงการตลาดต่อยอด มีศูนย์บริการให้ข้อมูลทางธุรกิจ, ระบบตรวจมาตรฐานสินค้า, ศูนย์ออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์และ SMEs Solution Service เป็นศูนย์ที่ปรึกษาให้กลุ่มเอสเอ็มอีครบวงจร โดยมีแผนจัดกิจกรรมการตลาดในรูปแบบอีเวนท์ตลอดทั้งปี พร้อมเดินหน้ารุกตลาด CLMV และจีน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ที่มีศักยภาพในการมาซื้อของภายในโครงการ คาดว่าเมื่อเปิดโครงการจะมีผู้เข้ามาเดิน 5 – 7 คนต่อวัน และมียอดการค้า 5 – 6 หมื่นล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ‘ต่อยอดออนไลน์’ www.toryodonline.com ค้าส่งออนไลน์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย สนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีช่องทางการขาย ในเว็บไซต์ออนไลน์และเชื่อมต่ออีคอมเมิร์ซทั่วโลกและมีแผนความร่วมมือในการเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์ม B2B ระดับโลกอีกกว่า 10 ประเทศ อาทิ จีน อินเดีย เกาหลี อินโดนีเซีย สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ และรัสเซีย ช่วยต่อยอดธุรกิจผู้ประกอบการสู่ตลาดโลก
หลังเปิดดำเนินการตลาดต่อยอด ที่รังสิตแล้ว บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาขยายการลงทุนตลาดต่อยอด ในพื้นที่ชายแดนประเทศไทย เพื่อเป็นจุดส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยมองทำเล แม่สอด พื้นที่ 20-30 ไร่ นอกจากนี้ยังศึกษาทำเล เชียงใหม่ และอุดรธานี
