Business

‘กกพ.’ ตรึงเอฟที 4 เดือนรวด ช่วยอุตสาหกรรม-ประชาชน ฝ่าด่านไวรัส COVID-19

กกพ. ลงมติย้ำ ตรึงเอฟทีงวด พ.ค. – ส.ค. 2563 ต่อเนื่อง -11.60  สตางค์ต่อหน่วย ใช้เงินรวม 5,124 ล้านบาท ส่งผลค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.64 บาทต่อหน่วย หลังประเมินสถานการณ์ ไวรัส COVID-19 ยังไม่คลี่คลายโดยเร็ว หวังดูแลต้นทุนค่าไฟ ช่วยภาคธุรกิจ และค่าครองชีพ 

S 44130332

หลังจากที่ครม.มีมติลดค่าไฟให้ประชาชน เพื่อบรรเทาสถานการณ์ไวรัส COVID-19 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน  ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของการลดค่าไฟฟ้าในครั้งนี้ นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานฯ ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า กกพ.ให้คงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่าเอฟที สำหรับการเรียกเก็บเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2563 จำนวน -11.60 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.64 บาทต่อหน่วย ต่ออีก 4 เดือน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด 19 โดยคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 5,120 ล้านบาท ในการบริหารจัดการเพื่อตรึงค่าเอฟที ครั้งนี้

ทั้งนี้กกพ. ได้ประเมินสถานการณ์ผลกระทบ โดยรวมของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมทั้งใน และต่างประเทศชะลอตัว ขณะที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลายโดยเร็ว ดังนั้นเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ  จึงยังคงดำเนินการการบริหารจัดการเพื่อตรึงค่าเอฟทีต่อเนื่องอีก 4 เดือนดังกล่าว

ส่วนภาวะการณ์ในระยะ 4 เดือนที่เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน นายคมกฤช ระบุว่า คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้น  สำหรับการผลิตไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าดังกล่าว โดยยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงหลัก คาดว่าราคาเชื้อเพลิงในช่วงนี้ มีแนวโน้มลดลง ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก

อย่างไรก็ตามการประมาณการค่าเอฟที ต้องนำภาระค่าใช้จ่าย ที่เกิดจากส่วนต่างค่าเอฟที ประมาณการณ์ กับค่าเอฟทีที่เกิดขึ้นจริงมาพิจารณาเพิ่มเติมด้วย ซึ่งในครั้งนี้ภาระค่าใช้จ่าย ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากประมาณการณ์ไว้

light bulbs 1875384 640

สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟที ในงวด พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 ในรายละเอียด ประกอบด้วย

  • ความต้องการพลังงานไฟฟ้า ช่วงเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 เท่ากับ 69,920 ล้านหน่วย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2563 ที่คาดว่าจะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 65,724 ล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 6.38% ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อน
  • สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 ยังคงใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิงหลัก 58.34% ถ่านหิน 16.32 % และการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 16.20%
  • แนวโน้มราคาก๊าซฯเท่ากับ 263.19 บาทต่อล้านบีทียู ปรับตัวลดลงจากงวดที่ผ่านมา 3.50 บาทต่อล้านบีทียู ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าเอกชน อยู่ที่ 2,488.19 บาทต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดที่ผ่านมา 16.59 บาทต่อตัน

ทั้งนี้สำนักงาน กกพ. ได้รับฟังความคิดเห็นค่าเอฟที สำหรับการเรียกเก็บประจำเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2563 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12-26 มีนาคม 2563 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

Avatar photo