“บอร์ดรถไฟ” เห็นชอบ “ยูนิค” คว้าประมูลไฮสปีดไทย-จีน 9.4 พันล้าน คาดลงนามได้ต้นปีหน้า แต่ “โครงการจัดซื้อโบกี้” กินแห้ว โดนสั่งทบทวนใหม่
รายงานข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า วันนี้ (14 พ.ย.) คณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯ เห็นชอบผลการประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สัญญาที่ 4-6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี ระยะทาง 31.60 กิโลเมตร ที่มีบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ เป็นผู้ชนะการประมูล ด้วยราคาต่ำสุดที่ 9,429 ล้านบาท หรือต่ำกว่าราคากลาง 16.1%
หลังจากนี้ การรถไฟฯ จะประกาศให้ UNIQ เป็นผู้ชนะการประมูลอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าการลงนามสัญญาจะต้องรอถึงต้นปี 2563 เนื่องจากการรถไฟฯ จะต้องปรับปรุงรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการฯ ให้แล้วเสร็จก่อน
ตีกลับโครงการซื้อ “โบกี้”
นายศิริพงศ์ พฤทธิพันธุ์ รองผู้ว่าการ กลุ่มธุรกิจการซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมบอร์ดการรถไฟฯ มีมติให้ทบทวนโครงการจัดซื้อรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) จำนวน 965 คัน วงเงิน 2,323 ล้านบาท เนื่องจากบอร์ดเห็นว่า การรถไฟฯ นำเสนอการจัดหาด้วยวิธีการซื้อเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะไม่คุ้มค่า เพราะผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อยู่ที่ 10%เท่านั้น
ดังนั้น การรถไฟฯ จะต้องกลับไปศึกษาการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าด้วยวิธีซื้อและวิธีเช่า เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้การใช้งบประมาณเกิดความคุ้มค่าสูงสุด รวมถึงต้องจัดทำแผนการตลาดเพิ่มเติม โดยเฉพาะแผนการจัดหารายได้ เนื่องจากบอร์ดต้องการให้พิจารณาแผนการตลาดในภาพรวมให้รอบคอบ
“เราต้องไปปรับแผนใหม่ทำข้อมูลเปรียบเทียบ ระหว่างการซื้อกับเช่าซื้อว่ารูปแบบไหนจะคุ้มค่ากว่า ซึ่งแผนเดิมที่เราเสนอให้บอร์ดพิจารณาครั้งนี้ เป็นรูปแบบการซื้ออย่างเดียว เพราะต้องการที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมรางในประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่ารถที่ซื้อจะต้องเป็นรถที่ประกอบในประเทศเท่านั้น ซึ่งส่งผลดีทำให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้โดยตรง ตามนโยบายรัฐบาล แต่บอร์ดต้องการให้ลงทุนอย่างคุ้มค่า จึงเสนอให้ศึกษาเปรียบเทียบกับการเช่าซื้อด้วย คาดว่าจะนำกลับมาเสนอบอร์ดพิจารณาอีกครั้งในวันที่19 ธันวาคมนี้” นายศิริพงศ์กล่าว
- รถไฟชงโครงการซื้อ ‘โบกี้’ 2.3 พันล้าน ออก TOR หนุนผลิตในประเทศ
- ชงบอร์ดไฟเขียว ‘ยูนิค’ คว้าประมูล ‘ไฮสปีดไทย-จีน’ 9.4 พันล้านบาท