ถ้าจะพูดถึงปั๊มน้ำมันที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย เชื่อว่าคำตอบในใจของหลายคนคงนึก ถึงปั๊มน้ำมัน ปตท. หรือไม่ก็บางจาก แน่ๆ
แต่จริงๆ แล้วคำตอบคือ “ปั๊มน้ำมันพีที” ของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PTG ต่างหากครับ เพราะปัจจุบันปั๊มน้ำมันพีที ขยายสาขาทั่วประเทศไปกว่า 1,800 แห่งแล้ว มากกว่า ปตท. ที่มีราว 1,600 แห่ง และบางจาก ที่มีราว 1,100 แห่ง
ทั้งนี้ PTG ได้เริ่มเข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2556 เวลานั้นบริษัทมีปั๊มน้ำมันแค่ 700 แห่งเท่านั้น และมีรายได้ 27,817 ล้านบาท แต่เวลาเพียง 5 ปี PTG สามารถขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในแง่ของจำนวนสาขา และทำรายได้ในปี 2561 ทะลุ 1 แสนล้านบาทไปเรียบร้อย
อะไรคือเบื้องหลังของความสำเร็จนี้ มาดูกัน
1.กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง
ในกลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของไทย มักจะเน้นขยายสาขาบนถนนสายหลัก แต่ PTG ไม่คิดแบบนั้น เพราะมองว่ามีต้นทุนสูงและคงแข่งขันกับรายใหญ่ยาก
PTG จึงเลือกที่จะขยายสาขาบนถนนเส้นรองแทน โดยเน้นลูกค้ารถกระบะ รถบรรทุก และรถทางการเกษตร เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นรู้จักในต่างจังหวัดก่อน ถึงค่อยๆ ตีโอบธุรกิจเข้ามาในกรุงเทพและปริมณฑลมากขึ้น
2. เน้นบริหารปั๊มน้ำมันแบบ COCO
ธุรกิจปั๊มน้ำมัน แบ่งได้ 2 แบบ คือ COCO (Company Owned Company Operated) ซึ่งเป็นรูปแบบที่บริษัทเป็นทั้งเจ้าของและบริหารเอง กับอีกแบบคือ DODO (Dealer Owned Dealer Operated) ที่เป็นการขายแฟรนไชส์ให้คนอื่นมาดูแล
เหตุผลที่ PTG เน้นขยายสาขาแบบ COCO มากกว่า ด้วยมองว่ามีข้อดีตรงที่สามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้เอง ทั้งเรื่องมาตรฐานการบริการและอัตรากำไรที่สูงกว่า รวมถึงการตัดสินใจเลือกทำเลขยายสาขาได้ด้วยตัวเอง
3. มีรถขนส่งน้ำมันของตัวเอง
ขณะที่บริษัทอื่นเลือกใช้ Outsource ในการขนส่งน้ำมัน แต่ PTG ได้เปรียบตรงที่มีธุรกิจนี้เป็นของตัวเอง คือ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA นั่นเอง แปลว่า PTG สามารถคุมระยะเวลาขนส่งน้ำมัน จำนวนลิตรที่ต้องการ และคุณภาพได้ตามต้องการ ทำให้ประหยัดต้นทุนในส่วนนี้ไปได้มากทีเดียว
แม้วันนี้ PTG จะขยายปั๊มน้ำมันจนมีสาขามากที่สุดได้สำเร็จ แต่บริษัทคงไม่หยุดฝันแค่นั้น เพราะพวกเขาตั้งเป้าหมายต่อไปว่า ในปีนี้จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดขึ้นไปเป็นอันดับ 2 หรือราว 15% ให้ได้ ซึ่งคงต้องจับตาดูกันว่า ฝันนี้จะเป็นจริงได้หรือไม่
ขอบคุณภาพ: จากพีทีจี
