Business

‘เจดี เซ็นทรัล’ มาแล้ว ตั้งเป้าขายสินค้าไทย 1 แสนล้านบาทใน 5 ปี

jd central

ก่อนหน้านี้ การจะไปค้าขายสินค้าในตลาดจีนอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับผู้ประกอบการไทย แม้จะมีเม็ดเงินมหาศาลล่อใจ กับฐานลูกค้าระดับพันล้านคน โดยผู้ประกอบการไทยบางรายอาจมองประเด็นเรื่องภาษา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันเป็นกำแพงสำคัญที่ไม่อาจข้ามไปได้ จึงทำให้หลาย ๆ ธุรกิจเลือกที่จะพึ่งพาเอเจนซีรายต่าง ๆ ในการทำตลาดแดนมังกรแทน

แต่สำหรับในยุคนี้อาจต่างออกไป เนื่องจากมีแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่จากต่างชาติเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไทยถึงที่ ล่าสุดคือทาง JD.com ที่นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตนเองเข้ามาแนะนำให้กับนักธุรกิจไทยภายใต้ชื่อบริษัท เจดี เซ็นทรัล (บริษัทร่วมทุนระหว่าง JD.com และกลุ่มเซ็นทรัล) แล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่เพียงยกมาทั้งแพลตฟอร์ม แต่ยังมีการเตรียมความพร้อมในด้านโลจิสติกส์ ศูนย์ฝึกอบรม และบริการต่าง ๆ อีกมากมาย

โดยในงานเสวนาเรื่อง Business Gateway to China โดยความร่วมมือของหอการค้าไทย-จีน, สำนักข่าวซินหัว ประจำประเทศไทย และศูนย์บริการธุรกิจไทย-จีน ฯพณฯ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ บนเวทีเสวนาดังกล่าวว่า ประเทศจีนมีศักยภาพสูงมากในแง่เศรษฐกิจของโลก และการค้าผ่านอีคอมเมิร์ซก็เป็นสิ่งที่ทรงพลังของการค้าสมัยใหม่ ที่สำคัญ ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีที่แน่นแฟ้นยาวนาน ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ

“ปัจจุบัน มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศสูงถึง 73,000 ล้านดอลล่าร์ และเรามีเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่าทางการค้าเป็น 120,000 ล้านดอลล่าร์ในปี 2563 ซึ่งจีนเองก็ให้ความสำคัญกับประเทศไทย โดยมีการลงทุนเป็นอันดับสาม มูลค่าการลงทุนในปี 2560 เกือบพันล้านบาท ในด้านการท่องเที่ยวก็พบว่า นักท่องเที่ยวจีนให้ความสนใจกับไทยมาก ในปีที่ผ่านมา เดินทางมาเที่ยวไทย 8 ล้านคน และคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มเป็น 10 ล้านคน”

สำหรับสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการในจีนแผ่นดินใหญ่หนีไม่พ้น ข้าวหอมมะลิ, ยางพารา และล่าสุดคือทุเรียน อย่างไรก็ดี ภาครัฐมองว่า การเปิดตลาดกับจีนจะไม่ส่งผลให้สินค้าในประเทศไทยมีราคาแพงขึ้นมากแต่อย่างใด แต่จะเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรไทยพัฒนาผลิตผลให้ดียิ่งขึ้นด้วย

jd central

“สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือการเชื่อมโยงของภาคส่วนต่าง ๆ และความโดดเด่นของประเทศไทยในฐานะประตูสู่กลุ่ม CLMVT โดยมี EEC เป็นโอกาสทองคำที่จะดึงแหล่งทุนต่าง ๆ เข้ามายังประเทศไทย ในการพัฒนานี้ รูปแบบการค้าจะเกิดการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ การค้าอิเล็กทรอนิกส์จะเข้ามาทำลายล้างการค้าแบบเดิม ๆ มากขึ้น”

ขณะที่นายวินเซนต์ หยาง ซีอีโอ เจดี เซ็นทรัล ได้เผยเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ JD.com ดังนี้

  • ปัจจุบันติด 1 ใน 10 บริษัทด้านอินเทอร์เน็ตของโลก
  • เป็นบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดของจีน (ในด้านรายได้)
  • มีแคมเปญที่สร้างชื่อเสียงหลากหลาย เช่น สามารถขายล็อบสเตอร์แคนาดาได้ 140,000 ตัวภายใน 24 ชั่วโมง, สามารถส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน – วันรุ่งขึ้นได้คิดเป็น 92% ของสินค้าที่จัดส่งบนแพลตฟอร์ม, สามารถส่งแอปเปิลได้ภายใน 4 นาที 31 วินาที เป็นต้น
  • เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังของ JD.com ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ โกดังสินค้าอัตโนมัติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย, เทคโนโลยีโดรน, ระบบลอจิสติกส์ของตนเอง และเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและปัญญาประดิษฐ์
  • JD.com มียอดรวมของสินค้าที่ขายได้ หรือ Gross Merchandise Volume (GMV) ในปี 2560 ทั้งสิ้น 199,100 ล้านชิ้น (เติบโตแบบปีต่อปี 53%)
  • รายได้สุทธิของแพลตฟอร์มอยู่ที่ 55.7 พันล้านดอลล่าร์
  • มีผู้ใช้งาน 292.5 ล้านคน (เพิ่มขึ้นปีต่อปี 26.6%)
  • มีร้านค้ามากกว่า 170,000 แห่งบนแพลตฟอร์ม
  • มีพนักงานมากกว่า 160,000 คน
  • ปัจจุบันมูลค่าสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังแพลตฟอร์มของ JD.com อยู่ที่ 2.89 พันล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี

jd central

สำหรับการมาถึงของ เจดี เซ็นทรัล นั้น นายวินเซนต์ หยางเผยว่า เป็นการร่วมทุนระหว่าง JD.com ในฐานะบริษัทอีคอมเมิร์ซอันดับ 2 จากจีน กับเซ็นทรัลกรุ๊ป ในการขยายกิจการอีคอมเมิร์ซเข้าสู่ประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 500 ล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท และมีภารกิจหลักอยู่สองประการนั่นคือ

  1. จัดซื้อสินค้าจากพาร์ทเนอร์ในประเทศไทย และจัดฝึกอบรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยถึงวิธีการค้าขายบน JD.com
  2. ใช้ช่องทางของ JD.com อย่างอีคอมเมิร์ซ, อี-ลอจิสติกส์ และ อี-ไฟแนนซ์ ในการช่วยกระจายสินค้าไปยังกลุ่มลูกค้าจีน

โดยนายวินเซนต์ ได้ยกตัวอย่างสินค้าที่มีศักยภาพบนแพตฟอร์ม เช่น สินค้าแม่และเด็ก, สินค้าแฟชั่น, สินค้าเพื่อความสวยความงาม, อาหาร, เครื่องใช้ในบ้าน, สินค้ากลุ่ม Personal Care, สินค้ากลุ่มสุขภาพ, สินค้ากลุ่มดิจิทัล และสินค้ากลุ่มยานยนต์ เป็นต้น

ส่วนรูปแบบการขายสินค้าบน JD.com นั้น แบรนด์ไทยสามารถทำได้สองแบบ นั่นคือ

  • ขายตรง (Direct Sale) แบรนด์ขายสินค้าตรงให้กับ JD และ JD เป็นผู้บริหารจัดการ
  • มาร์เก็ตเพลส (Marketplace) สร้างหน้าร้านให้กับแบรนด์ แต่แบรนด์ยังเป็นเจ้าของสินค้า และต้องบริหารสต็อกสินค้าเอง

ทั้งนี้ ลูกค้าบน JD.com นั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมิลเลนเนียล มีการศึกษาสูง และเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบว่าอาศัยอยู่ในเมือง Tier 1 – 2 เป็นหลัก เช่น กว่างดง, ปักกิ่ง, เจียงซู, เซี่ยงไฮ้ และซีเจียง และการสั่งซื้อสินค้ามักเกิดจากลูกค้าผู้หญิงมากกว่าผู้ชายที่ 56.9%

ส่วนโกดังสินค้าของ JD.com ในไทยนั้น ตามการเปิดเผยของนายวินเซนต์ หยาง ระบุว่า มีขนาด 5,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพ รองรับกล่องสินค้าขนาดกลางและใหญ่ได้ 8,000 ชิ้นต่อวัน และมีความสามารถในการจุพัสดุอยู่ที่ 300,0000 ชิ้น สามารถรองรับออเดอร์เอาท์บาวด์ได้ 5,000 ออเดอร์ต่อวันเลยทีเดียว

ด้านนายโชดก พิจารณ์จิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารสินค้า เจดี เซ็นทรัล เผยว่า สิ่งที่ทางเจดี เซ็นทรัลต้องการสร้างให้เกิดในประเทศไทยคือ การเข้ามาเพิ่มความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้าออนไลน์, การลดความยุ่งยากในการจัดส่งสินค้า และต้องการให้การซื้อสินค้าออนไลน์เป็นเรื่องที่สร้างความสุขให้กับลูกค้า

Avatar photo