ปตท. รับปีนี้น้ำมันราคาลด ประเมินปีนี้เฉลี่ย 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลั่นพร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เดินเจรจาเพิ่มธุรกิจใหม่เข้าพอร์ต คาดปีนี้ปิดดีล 5 โครงการ เน้นกลุ่มพลังงานแห่งอนาคต พร้อมตรึงราคาขายปลีกช่วงสงกรานต์ ลดภาระผู้บริโภค
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่เริ่มลดลง หลังจากปี 2565 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันพุ่งเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากสงครามยูเครน-รัสเซีย โดยประเมินว่าปีนี้ ราคาน้ำมันโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
จากสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ยอมรับว่าจะส่งผลรายได้ของ ปตท. ในปีนี้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงกว่าปกติ ทำให้รายได้ของ ปตท. เพิ่มตามไปด้วยเป็นกว่า 3.37 ล้านล้านบาทในปี 2565 แต่สำหรับปีนี้เมื่อราคาน้ำมันลดลง คาดว่ารายได้จะลดลงเข้าสู่ระดับการเติบโตปกติ หรือประมาณเกือบ 3 ล้านล้านบาท
ที่ผ่านมา ปตท. มีการปรับโครงสร้างธุรกิจตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นปรับทั้งในตลาดหลักทรัพย์ด้วยการนำบริษัทเข้าตลาดฯ หรือปรับธุรกิจนอกตลาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้สภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป ซึ่งในปีนี้จะพยานยามรักษาผลประกอบการให้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในระดับผลกำไรประมาณ 5% จากกำไรในปีที่ผ่านมากว่า 9 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ อีกแนวทางการสร้างการเติบโตตามวิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond การขยายการเติบโตในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต ควบคู่กับการสร้างการเติบโตในธุรกิจเดิมที่ยังมีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มฟอสซิล
สำหรับปีนี้ คาดว่าจะมีการเจรจาธุรกิจใหม่เข้ามาในพอร์ต ปตท. ไม่ต่ำกว่า 5 โครงการ โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจพลังงานทดแทน และเป็นการเจรจากับผู้ประกอบการจากต่างประเทศ โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผน 5 ปี (ปี 2566-2570) ที่วางงบลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่รวมกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีทั้งการเข้าซื้อหุ้น การจับมือร่วมทุนเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน
ขณะเดียวกัน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ปตท. จะตรึงราคาขายปลีกน้ำมัน เพื่อช่วยบรรเทาภาระผู้บริโภค และยืนยันว่า หากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ปตท. ก็พร้อมจะปรับลดราคาลงด้วย
นายอรรถพล ยังกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในเครือในปีนี้ว่า ในส่วนของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) จากการที่ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงในปีนี้ ส่งผลให้รายได้จากการขายปิโตรเลียมลดลง ซึ่งปตท.สผ. ได้เร่งเพิ่มปริมาณการขายมากขึ้นเพื่อไปชดเชยรายได้ที่หายไป
ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่า แม้จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทิศทางราคาของปิโตรเคมีจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี2565 เนื่องจากมีดัมานด์ในตลาดเพิ่มขึ้นหลังจากจีนเปิดประเทศ
ในส่วนของธุรกิจโรงกลั่น เชื่อว่าปีนี้ ค่าการกลั่นจะยังอยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับวัตถุดิบจะแคบลง แต่ค่าพรีเมี่ยมน้ำมันดิบก็ลดลงด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบจากปี 2565 ทำให้กลุ่มโรงกลั่นยังมีผลดำเนินงานที่ดี ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้าในปีนี้คาดว่าต้นทุนเขื้อเพลิงจะลดลง การปรับขึ้นค่า Ft จะส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจปรับตัวดีขึ้น
ในส่วนของธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกของ โออาร์ จะเติบโตจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวส่งผลให้ยอดการใช้และยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้น
สำหรับความคืบหน้าของการลงทุนในธุรกิจใหม่ นายอรรถพล ยกตัวอย่างให้ฟังถึงโครงการสำคัญว่า การขยายการลงทุนตามวิสัยทัศน์ คือ การลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มุ่งเน้นธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เช่น การลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร โดยขยายการลงทุนให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อาทิ แบตเตอรี่และโรงงานประกอบรถยนต์อีวี
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน ที่เน้นการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายขนส่ง การลงทุนในธุรกิจ Life science การลงทุนพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้กลุ่ม ปตท. บรรลุเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ 12,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573
ในส่วนของก๊าซธรรมชาติ ก็ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นธุรกิจหลักของ ปตท. และยังคงเติบโตในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยจะเน้นการขยายโครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการขยายการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลวอย่างครบวงจร (LNG Value Chain) ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ปตท.’ คว้า 7 รางวัล รัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม-ดีเด่น ปี 65 สะท้อนการดำเนินงานเป็นเลิศในทุกมิติ
- กลุ่ม ปตท. จัดโครงการ ‘ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง’ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งปี 2566
- ปตท. คว้ารางวัล ‘THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2023’ ประเภทอุตสาหกรรมพลังงาน 4 ปี ซ้อน