Business

กทม. ขอความร่วมมือบีทีเอส ทบทวน-ชะลอขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้า

กทม. ส่งหนังสือถึงบีทีเอส ขอความร่วมมือ ทบทวนและชะลอขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้า ห่วงเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงกรณีบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (BTSC) แจ้งขอปรับขึ้นค่าโดยสาร ว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เห็นว่า การปรับขึ้นค่าโดยสารดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อประชาชน และเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเป็นอย่างมาก

ชะลอขึ้นค่าโดยสาร

ประกอบกับบริษัทฯ ยังมีรายได้ทางอื่น ซึ่งนอกเหนือจากรายได้จากค่าโดยสาร เพื่อมาชดเชย อาทิ รายได้จากการประกอบพื้นที่เชิงพาณิชย์ บริเวณชั้นจำหน่ายตั๋ว รายได้จากการโฆษณา รายได้จากการอนุญาตให้เอกชนก่อสร้างทางยกระดับ เพื่อเชื่อมต่อกับสถานี และอาคารบุคคลภายนอก

ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าว สามารถนำมาช่วยสนับสนุนรายจ่าย จากการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้ ซึ่ง กทม. ได้มีหนังสือขอความร่วมมือให้บริษัทฯ ทบทวนและชะลอการปรับ ค่าโดยสารที่เรียกเก็บ ออกไปก่อน

กรณี บริษัท BTSC ได้แจ้งการขอปรับขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้า เป็นการขอปรับขึ้น ค่าโดยสารที่เรียกเก็บ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ตามสัญญาสัมปทานระบบขนส่งมวลชน ระหว่าง กรุงเทพมหานคร กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (สัญญาสัมปทานฯ) ข้อ 13.2 ได้ระบุว่า ค่าโดยสารที่เรียกเก็บ จะต้องไม่เกินไปกว่าเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุดที่อาจเรียกเก็บได้

ขณะที่บริษัทฯ จะต้องแจ้งให้ กทม. และประชาชนทั่วไปทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงค่าโดยสารที่เรียกเก็บล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ก่อนวันที่ค่าโดยสารใหม่จะมีผลบังคับใช้ โดยเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุดที่อาจเรียกเก็บได้ เมื่อเดือนเมษายน 2565 อยู่ที่ 21.52-64.53 บาท

อนึ่ง บริษัท BTSC ได้เคยมีหนังสือแจ้งกรุงเทพมหานครเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 เพื่อขอปรับขึ้นค่าโดยสารจาก 16-44 บาทเป็น 17-47 บาท ซึ่งการขอปรับค่าโดยสารดังกล่าวไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุด

แต่กรุงเทพมหานคร ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลโครงการรถไฟฟ้าสาย

วิศณุ ทรัพย์สมพล1
วิศณุ ทรัพย์สมพล

สีเขียว ได้ขอให้บริษัทฯ ชะลอขึ้นค่าโดยสารออกไปก่อน โดยขอให้บริษัทคำนึงถึงความเดือดร้อนและภาระของประชาชนโดยรวม และขอให้ชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นในการขอปรับค่าโดยสาร

ต่อมาบริษัทฯ ได้มีหนังสือแจ้งกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นว่า บริษัทฯ มีรายจ่ายจากการดำเนินโครงการที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้หารือกับผู้จัดการกองทุนรวม โครงสร้างพื้นฐานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (กองทุนฯ) และมีความเห็นตรงกันว่า เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน บริษัทฯ จึงยินดีที่จะชะลอการปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บ ไปจนถึงสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

จากนั้น จะบังคับใช้อัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บ ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ซึ่งค่าโดยสารใหม่ที่จะเรียกเก็บนั้นอยู่ในอัตรา 17-47 บาท ไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุด ที่อาจเรียกเก็บได้ตามสัญญาสัมปทาน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo