ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนเมษายน 2561 ผ่านไป จะเห็นว่า ดัชนีผันผวนขึ้นลงแรง โดยดัชนีปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 1,801.28 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,724.98 จุด
หากพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า หุ้นกลุ่มขนส่งปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด 5.77% เนื่องจากหุ้น BEM ราคาปรับตัวขึ้นสูงถึง 9% กลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.39% มาจากหุ้น IVL ราคาเพิ่มขึ้น 4.37% ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 2.39% จากหุ้น CENTEL ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3.55% เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากเข้าไปดูข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนของหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมากสุดในเดือนเมษายน 2561 มากที่สุด 10 อันดับแรก พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มหุ้นที่มีขนาดเล็ก ราคาหุ้นไม่เกิน 5 บาทต่อหุ้น และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เฉลี่ยของหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในระดับ ตั้งแต่ไม่ถึง 1 พันล้านบาท สูงสุด 4 พันล้านบาท หากเทียบกับเดือนมีนาคม 2561 หุ้นที่มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด อยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแคป ตั้งแต่ระดับ 2พันล้านบาทถึง 7.9 หมื่นล้านบาท
จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2 ปีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเก็งกำไรเต็มรูปแบบ และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆ ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ได้รับแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ทำให้ราคาหุ้นชะลอตัว และมีความน่าสนใจการลงทุนลดลง
ทั้งนี้ เมื่อสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคมนี้ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงในหลายๆด้าน ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ดังนี้
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ในเดือนเมษายนตลาดหุ้นเผชิญกับ ความเสี่ยงเชิงนโยบายของภาครัฐ หรือ Policy risk ทำให้เหลือกลุ่มลงทุนลดลง ซึ่งจบการลงทุนไปอีกหนึ่งเดือน และต้องยอมรับว่าการลงทุนเดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความลำบาก สาเหตุหลักเกิดจากความเสี่ยงเชิงนโยบายจากภาครัฐ ส่งผลให้หุ้นหลายกลุ่มได้รับผลกระทบ นำโดย กลุ่มก่อสร้าง, กลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มธนาคาร ขณะที่กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเด่นที่สุดได้แก่กลุ่มขนส่ง นำโดยหุ้น AOT, BEM, BTS, PSL
หากนับภาพรวมพบว่ามีหุ้นสูงเกือบ 400 บริษัทที่ราคาปรับตัวลง (คิดเป็นประมาณ 60%ของจำนวนบริษัททั้งหมด, และมีเพียง 13% ที่ปรับตัวขึ้นสูงกว่า 5%) ภาพดังกล่าวสะท้อนเม็ดเงิน Liquidity flow ในตลาดที่เริ่มลดลง จากทั้งประเด็น กลุ่มที่เหลือให้ลงทุนน้อยลง และความกังวลเรื่อง Bond yield ของสหรัฐที่เร่งตัวขึ้นส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นทั่วเอเชียรวมถึงประเทศไทย
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนักลงทุนจับตาการประชุม FED และการรายงานตัวเลขสำคัญต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง Fund flow ในเดือนพฤษภาคมนี้
“ฝ่ายวิจัยมองว่าตลาดจะกลับมาเล่นบน Fundamental play อีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อ 6 เดือนก่อนถูกเก็งกำไรบน Liquidity play ค่อนข้างสูง โดยแนะนักลงทุนหันสะสมหุ้นกลุ่มที่คาดผลประกอบการจะดีในไตรมาสหนึ่งพร้อมเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสสอง ได้แก่ IVL, PTTEP, CPN และ LH”
บล.ทรีนีตี้ ประเมินกลยุทธ์การลงทุนว่า แนะนำนักลงทุนชะลอการลงทุนในช่วงสั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง 3 ประการที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ 1.) การปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ที่เริ่มลามมายังกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏการณ์ขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ 2.) การปรับตัวพุ่งสูงขึ้นของ Bond yield ทั่วโลก จนทำให้ล่าสุด Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ Lehman crisis 3.) Downside risk ของราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และ 4.) การปรับตัวขึ้นมาของ Bond yield ไทย ที่อาจทำให้นักลงทุนในประเทศมีแรงจูงใจที่จะโยกย้ายเงินออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้มากขึ้น
หากจะต้องเลือกลงทุนในช่วงนี้ กลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Selective ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี ที่ Spread ผลิตภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับสูง ได้แก่ IVL (ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 70 บาท) กลุ่มโรงแรม ที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการขยายตัวของการท่องเที่ยวเมืองรอง ได้แก่ MINT (48 บาท) และ ERW (8.90 บาท) กลุ่มนิคมฯและ Logistics properties ที่ได้ประโยชน์จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ AMATA และ WHA (ราคาเป้าหมาย Consensus อยู่ที่ 27 บาทและ 4.60 บาทตามลำดับ) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มี Dividend yield อยู่ในระดับสูง ได้แก่ QH (3.85 บาท) และ AP (9.20 บาท) กลุ่มสื่อสารที่มี Regulatory risk ที่ลดลง ประกอบกับความน่าจะเป็นที่จะได้รับมาตรการเยียวยาจากภาครัฐมีสูงขึ้น เลือก ADVANC (217 บาท) และ TRUE (8.30 บาท)
สำหรับนักลงทุนระยะสั้นประเภทเก็งกำไร แนะนำกลุ่มชิ้นส่วนฯที่ได้อานิสงส์จากการที่เงินบาทกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการอ่อนค่ามากที่สุดประจำปี ได้แก่ KCE (88 บาท) และ HANA (44 บาท)
บล.คันทรี่ กรุ๊ป คาดว่า นักลงทุนน่าจะกลับมาให้ความสำคัญกับผลประกอบการเป็นหลักโดยหุ้นใน SET100 ที่ประกาศผลประกอบการออกมามีกำไรสุทธิ 7.2 หมื่นล้านบาท (เพิ่ม 18% จากไตรมาส 4 ปี2560, ลดลง 8% จากงวดเดียวกันปีก่อน) ดีกว่า Bloomberg คาด 3% นับเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนเชิงบวกที่ส่งผลไปยังกำไรต่อหุ้นของดัชนี ในเชิงกลยุทธ์ระหว่างรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐเน้นไปยังกลุ่มที่ Consensus คาดผลประกอบการจะเติบโตได้ (AAV ADVANC CENTEL CK CPN LH) รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัวของบริษัท (BR GOLD SMPC TTW)
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยปิดเดือนเมษายน ที่ 1,780.11 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.94 จุด (เพิ่มขึ้น 0.7%) ตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์ ถือว่า เป็นไปตามสถิติที่เคยประเมินไว้ ว่า SET INDEX มักปรับตัวเพิ่มขึ้นบ่อยครั้งในช่วงครึ่งหลังของเดือน เมษายน
สำหรับทิศทางในเดือนพฤษภาคมเชิงสถิติ บ่งชี้ว่า เป็นเดือนที่ SET INDEX ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก กล่าวคือ SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนนี้เพียง 4 จาก 10 ปีหลังสุด นับว่า แย่สุดเมื่อเทียบกับอีก 11 เดือนที่เหลือ ทำให้มีคำกล่าวว่า “Sell in May and Go Away” ทั้งนี้ มองว่า ทิศทางของ SET INDEX ในเดือนนี้ จะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศ, การรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส1ปี2561 จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม, การปรับดัชนี MSCI