ธุรกิจประกันชีวิตเติบโตควบคู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการยอมรับในระบบประกันภัย ซึ่งในภาพรวมปัจจุบัน อัตราส่วนกรรมธรรม์เทียบประชากรในไทยมีสัดส่วนเพียง 39% ยังเติบโตได้อีกมาก แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ธุรกิจประกันชีวิตก็ต้องปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้บริโภค เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เมืองไทยประกันชีวิต ต้องปรับตัวค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา และยังคงเดินหน้าปรับตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา เป็นปีที่เมืองไทยประกันชีวิต ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันชีวิตควบการลงทุน ด้วยการบริการที่เรียกว่า Outside In ซึ่งเป็นการให้บริการยุคใหม่ของระบบประกัน ที่เน้นรับฟังความต้องการของลูกค้า หรือการให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่ธุรกิจประกันมักเป็นการนำเสนอการขายแบบ Inside Out คือบริษัทคิดผลิตภัณฑ์ไปเสนอขายเป็นหลัก
ปรับองค์กร-ปรับระบบรับเทคโนโลยี
“โลกมันเปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนหลายอย่าง รวมถึงพฤติกรรมลูกค้า ดังนั้นการนำเสนอประกันชีวิตยุคใหม่จึงต้อง นำข้อมูลจากลูกค้ามาเป็นโจทย์สำหรับการออกผลิตภัณฑ์” นายสาระ ย้ำและว่า ในปีที่ผ่านมา MTL ได้นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ “เบาหวานเบทเทอร์แคร์” เป็นประกันภัยสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 “สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบอีลิท เฮลท์” ที่มอบความคุ้มครองที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีประกันชีวิตควบการลงทุน “mDesign” แบบประกันภัยที่รวมประกันชีวิตและการลงทุนในกองทุนรวมเข้าไว้ด้วยกัน โดยได้คัดสรรกองทุนรวมคุณภาพชั้นนำ มีความยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองและรูปแบบการลงทุนเพื่อให้ตรงกับรูปแบบการใช้ชีวิตได้ตามต้องการ คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด
รวมถึงบริการ “MTL Smile Service” บริการรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานการดูแลลูกค้าผ่านทีมงานคุณภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ด้านการบริการที่ครบวงจร
สำหรับผลการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิต ในปี 2561 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 94,467 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับใหม่ 22,773 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยปีต่อไป 71,694 ล้านบาท และได้รับประกาศคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength: IFS) จากสถาบัน Fitch Rating และ S&P ของบริษัทฯ โดยมีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS) ที่ ‘AAA(tha)’ และอันดับความแข็งแกร่งที่ ‘BBB+’ (หรืออยู่ในระดับ “ดี”)
นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล Life Insurance Company of the Year ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แห่งภูมิภาคเอเชีย ของการได้รับรางวัลดังกล่าว จากการประกวด Asia Insurance Industry Awards 2018 ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตจากประเทศไทยเพียงรายเดียว ที่ได้รับคัดเลือกและได้รับรางวัล
อย่างไรก็ตาม เบี้ยประกันภัยรับรวม 94,467 ล้านบาท ในปี 2561 ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้เล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทหันมาเน้นการปรับองค์กร ปรับระบบบริหารจัดการ เพื่อให้บริการลูกค้าได้ตรงตามความต้องการมากที่สุด
ตั้งเป้าปี’62 เบี้ยประกันรวมโต 26%
ส่วนแผนงานในปี 2562 นายสาระ เผยว่า บริษัทตั้งเป้าเป็นบริษัทประกันชีวิต ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม (Innovation) พร้อมก้าวเคียงคู่ไปกับลูกค้าในทุกช่วงของชีวิตด้วยแนวคิด “MTL Everyday Life Partner” เดินหน้าออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ผ่านนวัตกรรม และแนวคิดแบบ Outside In ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการในรูปแบบที่มีความเฉพาะตัว (Segment of One) และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยปีนี้ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรวมเพิ่มขึ้น 26%
โดยมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน และมุ่งเน้นการปลดล็อคข้อจำกัดในการทำประกันชีวิตและสุขภาพ (Health Revolution) ที่มอบความคุ้มครองและสร้างความอุ่นใจที่มากขึ้น ทั้งในแง่ของการเพิ่มเติมสวัสดิการที่ลูกค้ามีอยู่แล้ว หรือการดูแลในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่ครอบคลุมมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงค่าเบี้ยประกันภัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ในการดูแลเรื่องสุขภาพของลูกค้า แต่ละคน (Dynamic Pricing)
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำการตลาดแบบหลากหลายช่องทาง (Multi Distribution Channel) เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและเหมาะสมกับคนทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางตัวแทนที่มุ่งสู่การเป็นผู้ออกแบบทางการเงิน (Life Planner) ที่สามารถออกแบบ ให้คำปรึกษา และวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมแก่ลูกค้าแต่ละราย
รุกขายออนไลน์ผ่านมาร์เก็ตเพลส
นอกจากนี้ ยังเน้นการขายผ่านช่องทางธนาคาร โบรกเกอร์ รวมไปถึง การขายแบบประกันออนไลน์ ที่มุ่งขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น KPlus, Line Pay และ Shopee ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการให้บริการด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ (Digital Insurer) รวมทั้งยัง ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง (Regional Company)
โดยในตลาด CLMV ที่ขยายไปก่อนหน้านี้ จะขยายการลงทุนเพิ่ม โดยเฉพาะทีเมียนมาร์ ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเมียนมาร์ ให้สามารถร่วมทุนขยายธุรกิจ เปิดสาขาได้เช่นเดียวกับที่ กัมพูชา และเวียดนามที่ขยายไปก่อนหน้านี้ และยังศึกษาตลาดอินโดนีเซีย และฟิลลิปปินส์
พร้อมมีผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในต่างประเทศ อาทิ บริการ MTL Global Connect ซึ่งลูกค้าที่เจ็บป่วยในต่างประเทศ นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลในต่างประเทศทั่วโลกได้ตามสิทธิ์ โดยไม่ต้องสำรองจ่าย และบริการ Health at Home บริการสำหรับผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุที่มีความต้องการในการรักษาหรือดูแลอย่างต่อเนื่องที่บ้านโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Health at Home ที่มีความน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้เตรียมยกระดับการให้บริการภายใต้โครงการ “MTL Smile Service” ที่ครอบคลุมการให้บริการแก่ลูกค้าในทุกด้าน ประกอบด้วย MTL Smile Care, MTL Smile Tech, MTL Smile Touch และ เมืองไทย Smile Club เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ด้านการบริการที่ครบวงจรและเหนือระดับ (Excellence Service)
เชื่อมเครือข่ายพันธมิตรต่อยอดธุรกิจ
รวมถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่างๆ (Ecosystem Partner) เพื่อดูแลลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสถานพยาบาล พันธมิตรในกลุ่มที่เป็นสตาร์ทอัพด้าน Insure Tech หรือ Health Tech ที่มาจาก Fuchsia Innovation Centre และ Fuchsia Venture Capital ซึ่งจะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ มาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างเข้าถึง
“การดำเนินธุรกิจยุคนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นยุคที่ท้าท้ายองค์กรเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรจะต้องปรับตัวในมุมนโยบายเชิงกลยุท ธ์ในทุกระดับทั้งองค์กร ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหาร ไปจนถึงบุคลากรทุกหน่วยงาน จะต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ แนวคิด และวิธีการทำงานใหม่ทั้งหมด (Disruptive Ourselves) ให้สามารถทันต่อโอกาสที่เกิดขึ้น” นายสระ กล่าวสรุป
