Finance

เปิดพอร์ตลงทุนแบงก์กรุงเทพทะลุ 6 หมื่นล้าน

BB3 11

ที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2561 พบว่ามีกำไรดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และกำไรที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการตั้งสำรองที่น้อยกว่าคาด รววมทั้งมีการบันทึกรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น เช่นกำไรจากการขายเงินลงทุน กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและเงินปันผลรับ

จากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์พบว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีกำไรเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกำไรจากการขายเงินลงทุน ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และได้ไปสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ดูว่า ปัจจุบันแบงก์กรุงเทพถือหุ้นอะไรอยู่บ้าง

เมื่อรวบรวมข้อมูล พบว่า แบงก์กรุงเทพ มีพอร์ตลงทุนในหุ้นไทย ในเดือนมีนาคม 2561 พบว่า ถือหุ้น 49 หลักทรัพย์ มีทั้งการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ

BB1 011

ทั้งนี้หากคำนวณตามราคาเฉลี่ยของหุ้นแต่ละบริษัทที่ถือลงทุน ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แบงก์กรุงเทพมีมูลค่าพอร์ตลงทุนรวมกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นที่มีมูลค่าการถือครองเกินระดับ 1 พันล้านบาท ถึง 1.3 หมื่นล้านบาท จำนวน 13 บริษัท ประกอบด้วย หุ้น ASP มูลค่า 7,159.61 ล้านบาท หุ้น BA 1,599.15 ล้านบาท หุ้น BEM 2,429.13 ล้านบาท หุ้น BKI 3,916.58 ล้านบาท

หุ้น BLA 4,536.48 ล้านบาท หุ้น BTS 4,494.64 ล้านบาท หุ้น CK 1,014.25 ล้านบาท หุ้น GULF 4,536.32 ล้านบาท หุ้น IVL มูลค่า 13,976.58 ล้านบาท หุ้น RS 1,700.34 ล้านบาท หุ้น TPIPL 1,295.65 ล้านบาท หุ้น TREIT 1,134.48 ล้านบาท หุ้น VGI 3,446.86 ล้านบาท

BB2 011

นอกจากนี้ยังพบว่าช่วงต้นปี 2561 แบงก์กรุงเทพได้ขายหุ้น BH ทั้งหมด จากที่เคยถือลงทุน 27.08% คิดเป็น 3.72% หากขายออกมาจะคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5,519 ล้านบาท รวมถึงลดสัดส่วนหุ้น RS ลงเหลือถือหุ้น 58.47 ล้านหุ้นคิดเป็น 5.79% จากเดิมที่เคยถือหุ้น 70 ล้านหุ้นคิดเป็น 6.93% มูลค่าที่ขายออกมา ประมาณ 348 ล้านบาท

ในทางตรงกันข้ามได้เข้าซื้อหุ้น GULF 64 ล้านหุ้น คิดเป็น 3% มูลค่ารายการ 4,536.32 ล้านบาท และ TREIT 104.94ล้านหุ้น คิดเป็น4.03% มูลค่ารายการ 1,134.48 ล้านบาท

ขณะเดียวกันได้เพิ่มสัดส่วนถือหุ้น VGI เป็น 482.75 ล้านหุ้น คิดเป็น 6.7% จากเดิมที่ถือหุ้นเพียง 242.75 ล้านบาท คิดเป็น 3.54% ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มสัดส่วนเกือบเท่าตัวจากปีก่อน

จากข้อมูลพอร์ตลงทุนของแบงก์กรุงเทพจะพบว่า จะมีนโยบายถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงระดับ 3-5% ขึ้นไป และเป็นหุ้นขนาดกลางและใหญ่ มูลค่าการลงทุนระดับสูงและกระจายอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม มีหุ้นบางบริษัทที่แบงก์กรุงเทพน่าจะได้มาจากการแปลงหนี้เป็นทุน เนื่องจากบริษัทกลุ่มนั้นประสบภาวะขาดทุนจนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้หรือเป็นบริษัทเลือกเป็นช่องทางในการลดภาระหนี้สินที่มีสูงเกินไป

ทั้งนี้ในมุมมองของนักวิเคราะห์ ที่มีต่อแบงก์กรุงเทพ ภายหลังจากที่ประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2561ผ่านไปแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีมุมมองในระดับปกติ และยังคงประมาณการกำไรไว้ที่เดิม

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินว่า ฝ่ายวิจัยให้ราคาพื้นฐาน 215 บาท ยังแนะนำ “ทยอยซื้อ” โดยคงประมาณการกำไรปี 2561 ของ BBL ไว้เหมือนเดิมที่ 4.08 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.9% จากปีก่อน แต่การตั้งสำรองจำนวนมากใน ไตรมาสแรกของปีนี้ และการปรับลดค่าธรรมเนียมการโอน การจ่ายบิลอาจจะทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรปี 2561 ลงได้

ทั้งนี้กำไรแบงก์กรุงเทพไตรมาส 1 ปีนี้ เพิ่มขึ้น 8.4% จากปีก่อนเป็นไปตามคาด: โดยมีกำไร 9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกำไรจากการขายเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นมาก ถึงแม้ว่าการตั้งสำรองจะเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายลดต่ำลง และกำไรจากการขายเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นมาก

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ผลประกอบการไตรมาสแรก มีรายได้ก้อนใหญ่จากกำไรการลงทุนแต่ก็เอาไปตั้งสำรอง ซึ่งธนาคารบันทึกกำไรจากการลงทุน 3.5 พันล้านบาท (จากระดับปกติที่ประมาณ 1.5 พันล้านต่อไตรมาส) แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้นำรายได้พิเศษก้อนนี้ไปตั้งสำรอง ส่งผลให้ credit cost เพิ่มขึ้น

ถึงแม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์จะยังไม่ดีขึ้นในไตรมาส 1 ปีนี้ แต่เราคิดว่าคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ในขณะที่รายได้ยังโตตามกลุ่มได้แม้ว่าสินเชื่อยังไม่หวือหวา ทั้งนี้ จึงยังคงคำแนะนำและราคาเป้าหมายเอาไว้เท่าเดิม

หุ้นในพอร์ตแบงก์กรุงเทพทั้ง 49 หลักทรัพย์ ได้แก่ ASK จำนวน 26 ล้านหุ้น หรือ 7.35%, ASP จำนวน 178 ล้านหุ้น หรือ 8.46%, BA จำนวน 105 ล้านหุ้น หรือ 5%, BEM จำนวน 323 ล้านหุ้น หรือ 2.12%, BKI จำนวน 11 ล้านหุ้น หรือ 9.97%, BLA จำนวน 130 ล้านหุ้น หรือ 7.61%, BMSCITH จำนวน 8 ล้านหุ้น หรือ 8.9%, BOL จำนวน 33 ล้านหุ้น หรือ 4%, BR จำนวน 59 ล้านหุ้น หรือ 6.48%, BTS จำนวน 545 ล้านหุ้น หรือ 4.57%, CK จำนวน 39 ล้านหุ้น หรือ 2.3%, DIF จำนวน 54 ล้านหุ้น หรือ 0.93%, FUTUREPF จำนวน 28 ล้านหุ้น หรือ 5.28%, GRAMMY จำนวน 12 ล้านหุ้น หรือ 1.5%

GULF จำนวน 64 ล้านหุ้น หรือ 3%, IVL จำนวน 254 ล้านหุ้น หรือ 4.68%, JASIF จำนวน 87 ล้านหุ้น หรือ 1.58%, KWC จำนวน 1 ล้านหุ้น หรือ 8.83%, MILL จำนวน 300 ล้านหุ้น หรือ 7.38%, PDI จำนวน 7 ล้านหุ้น หรือ 3.23%, PE จำนวน 12 ล้านหุ้น หรือ 1.5%, PK จำนวน 49 ล้านหุ้น หรือ 11.89%, POST จำนวน 43 ล้านหุ้น หรือ 8.69%, PPP จำนวน 6 ล้านหุ้น หรือ 1.89%, QH จำนวน 55 ล้านหุ้น หรือ 0.52%, RS จำนวน 58 ล้านหุ้น หรือ 5.79%, SAMART จำนวน 7 ล้านหุ้น หรือ 0.73%, SAMTEL จำนวน 30 ล้านหุ้น หรือ 4.85%

SHANG จำนวน 3 ล้านหุ้น หรือ 2.18%, SIAM จำนวน 12 ล้านหุ้น หรือ 2.03%, SMIT จำนวน 10 ล้านหุ้น หรือ 1.89%, SMPC จำนวน 15 ล้านหุ้น หรือ 2.86%, SNP จำนวน 7 ล้านหุ้น หรือ 1.42%, SUC จำนวน 12 ล้านหุ้น หรือ 4.11%, TCB จำนวน 2 ล้านหุ้น หรือ 0.7%, TCCC จำนวน 11 ล้านหุ้น หรือ 1.93%, TFI จำนวน 100 ล้านหุ้น หรือ 4.9%, TNPC จำนวน 31 ล้านหุ้น หรือ 9.81%, TPIPL จำนวน 658 ล้านหุ้น หรือ 3.26%, TREIT จำนวน 105 ล้านหุ้น หรือ 4.03%

TSTH จำนวน 296 ล้านหุ้น หรือ 3.52%, TTTM จำนวน 306 ล้านหุ้น หรือ 5.11%, TWP จำนวน 19 ล้านหุ้น หรือ 6.89%, TWPC จำนวน 6 ล้านหุ้น หรือ 0.63%, U-P จำนวน 90 ล้านหุ้น หรือ 24.16%, UT จำนวน 3% หรือ 7.77%, VGI จำนวน 483 ล้านหุ้น หรือ 6.7%, VNG จำนวน 93 ล้านหุ้น หรือ 5.92%, WACOAL จำนวน 5 ล้านหุ้น หรือ 3.9%

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight