Finance

เศรษฐีหุ้นอ่วม!! ‘BDMS’ เจอศึกหนักสูญ 3 หมื่นล้าน

การคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติเพิ่ม เวชภัณฑ์ บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นๆ ของสถานพยาบาล เป็นสินค้าและบริการควบคุมในปี 2562 และได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณากำหนดมาตรการในการดูแลรายการสินค้าและบริการควบคุมใหม่ ร่วมกำหนดมาตรการดูแลให้ครอบคลุมและเป็นธรรม

เมื่อมีการควบคุมเกิดขึ้นทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อการดำเนินธุรกิจ จึงพากันขายหุ้นออกมา ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากการสำรวจข้อมูลหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล จะพบว่า หุ้น BDMS ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ กลุ่มตระกูลปราสาททองโอสถ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และที่ผ่านมากลุ่มตระกูลนี้ ยังคงครองความเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยในปี 2561 และน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐครั้งนี้มากที่สุด โดยราคาหุ้นปรับลดลงถึง 13.5% ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ลดลงกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท

หุ้นรพ.กลุ่มตระกูลปราสาททองโอสถ 01

ทั้งนี้ หากพิจารณาการถือครองหุ้นผ่านรพ.เอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ซึ่งมี BDMS ถือหุ้น จำนวน 149.60 ล้านหุ้น คิดเป็น 20.54%  ขณะที่ราคาหุ้นBHที่ผ่านมา ปรับลดลง 8% ส่วนมาร์เก็ตแคปลดลง 6.19 พันล้านบาท

บริษัท ธนบุรี เมดิเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ KDH มี BDMS ถือหุ้น 6.67 ล้านหุ้นคิดเป็น  43.43% ราคาหุ้นปรับลดลง 0.53% มาร์เก็ตแคปลดลง 10 ล้านบาท

บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) หรือ RAM  มี BDMS ถือหุ้น 4.58 ล้านหุ้นคิดเป็น 38.24% ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 1.88% มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 1.4 พันล้านบาท และ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) หรือ SVH มี BDMS ถือหุ้น 95.76 ล้านหุ้น คิดเป็น  95% ราคาหุ้นปรับลดลง 6.6% มาร์เก็ตแคปลดลง 1.4 พันล้านบาท

ทั้งนี้หากนับรวมมูลค่ามาร์เก็ตแคปที่ลดลงรวมทั้งหมด เท่ากับว่ากลุ่มตระกูลปราสาท จะสูญมูลค่าหุ้นจากนโยบายรัฐที่จะเข้ามาควบคุมดูแลประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้เริ่มทยอยปรับลดประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มรพ.ลง หลังจากที่มีการประกาศควบคุมอย่างเป็นทางการแล้ว

บล.เอเชียเวลท์ ประเมินว่า จากการวิเคราะห์ความอ่อนไหว หากตั้งสมมติฐานของค่ายาและเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ที่ลดลง 5 – 15% ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิปี 2562 ของ BDMS จะปรับลดลง 10 – 29% ตามมาด้วย CHG ที่ 5 – 16% และ BCH ที่ 5 – 15%

set8

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังคงประมาณการเดิมไว้ก่อนเนื่องจากรายละเอียดมาตรการยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งคาดจะเป็น Overhang ต่อกลุ่มโรงพยาบาลต่อไป ทำให้ปรับลดคำแนะนำกลุ่มเป็นถือลงทุนจากเดิมที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุน

บล. เอเซียพลัสมองว่า หุ้น BDMS เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีจำนวนเตียงมากสุดจากการที่มีโรงพยาบาลในเครือกระจายตัวในหลายจังหวัด ทำให้มีอำนาจการต่อในการซื้อยา และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด เป็นจุดที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันในระยะยาว ที่สำคัญยังมีโรงงานผลิตยาของตนเอง ในระยะยาวน่าจะได้รับผลกระทบไม่มาก

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เลือกหุ้น BDMS เป็นหุ้นเด่น ให้ทยอยซื้อสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว เพราะแม้ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่คิดราคา Premium ในโรงพยาบาลในเครือหลายแห่งแต่มีโรงพยาบาลในเครือจำนวนมากทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงด้านทำเลที่ตั้ง รวมทั้งมีศูนย์เวลเนสเซนเตอร์ที่จะสร้างรายได้และกำไรในระยะต่อไป

ขณะที่ บล.ฟินันเซียไซรัสปรับน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มการแพทย์ลงเป็นเท่ากับตลาด จากการเติบโตของกำไรปกติที่คาดว่าปีนี้จะชะลอลงเหลือ 11.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีฐานสูง ขณะที่ประเด็นการควบคุมราคายาและบริการทางการแพทย์ถือเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของรายได้และกำไรโดยตรง ซึ่งยัง กดดัน ราคาหุ้นจนกว่าจะมีข้อสรุปและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามดัชนีหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวลง 9.3% หลังจากเริ่มมีประเด็นดังกล่าวซึ่งมองว่าสะท้อนปัจจัยลบไปแล้วพอสมควร จึงมองเป็นจังหวะในการซื้อลงทุนจากภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมในระยะยาวที่ยังสดใส

setdown 2

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินว่า การควบคุมราคายา และเครื่องเวชภัณฑ์ต่างๆ น่าจะกดดันหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลปรับตัวลงมากกว่า 6% แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ เนื่องจากจะต้องรอดูรายละเอียดของการคุมค่ารักษาพยาบาล จากคณะอนุกรรมการ (ตัวแทนจาก ก.สาธารณสุข, พาณิชย์, สมาคมโรงพยาบาลเอกชน และอื่นๆ) จึงแนะนำนักลงทุนรอผลของคณะกรรมการเพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามคาดว่ามีโอกาสสูงที่มาร์จิน(Margin) ของกลุ่มโรงพยาบาลจะถูกปรับลง และนั่นหมายถึงการ ปรับลดค่าพีอีเรโช(Downgrade PE Band ) ลงด้วยเช่นกัน โดยหากสมมติฐานของนักวิเคราะห์พบว่า ทุกๆ ราคาค่ายาที่ปรับลดลง 5% จะมีผลกระทบทำให้กำไรสุทธิปรับลดลงราว 10% ดังนั้นในระยะสั้นคาดราคาหุ้นในกลุ่มนี้จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเพื่อรอความชัดเจน

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight