ตลาดหุ้นไทยช่วงต้นปี2562 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากดัชนีฟื้นกลับมายืนใกล้ระดับ 1,600จุด และเมื่อตลาดผันผวน หุ้นปันผลถือเป็นหุ้นที่สามารถใช้เป็นหลุมหลบภัยในการลงทุนได้เป็นอย่างดี
สำหรับหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีสูง และสามารถชนะอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของภาพรวมตลาด คือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งในผลประกอบการงวดปี 2561 กลุ่มดังกล่าวก็น่าจะให้ผลตอบแทนไม่แพ้กับปีที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ประเมินว่า โดยปกติแล้วหุ้นในกลุ่มกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีจะให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผล(ยิลด์)ต่อปีที่มากกว่าตลาดโดยรวม ซึ่งจากข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยมากกว่า ดัชนีรวมอย่างมาก โดยปันผลปี 2558 อยู่ที่ 8.2% เทียบอัตราปันผลเฉลี่ยของดัชนีรวมอยู่ที่ 3.3%; ปี2559 อยู่ที่ 5.1% เทียบกับดัชนีรวมที่ 3.4% และ ปี 2560 5.0% เทียบดัชนีรวมอยู่ที่ 3.1%
หากอิงอัตราการจ่ายเงินปันผลที่เท่ากับปีที่แล้ว ฝ่ายวิจัยคาดผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มพลังงานสำหรับปี 2561 อยู่ที่ 4.6% เทียบกับดัชนีรวมอยู่ที่ 3.2% โดยคาดบริษัทที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงสุดสำหรับครึ่งปีหลังปี 2561 ประกอบด้วย PTTGC, PTTEP, SPRC, PTT, BANPU และ TOP ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า หุ้นประเภท ปันผลดี-ปันผลสูง จะเป็นกลุ่มที่มีการปรับตัวขึ้นแรงกว่าดัชนีตลาดรวม โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดยังมีความเสี่ยงในการลงทุน อยู่ในระดับสูง ทั้งจากปัญหา เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลอดจนการเมืองทั้งใน และ ต่างประเทศ ซึ่งมีผลต่อความไม่แน่นอนของประมาณการณ์กำไร บริษัทจดทะเบียน โดยคาดหุ้นปันผลที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลดีกว่าเงินเฟ้อ และเงินฝาก จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากกระแสเคลื่อนย้ายเงินทุนทั้งจากเงินฝากในสถาบันการเงิน และพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอน รวมทั้งการลงทุนโดยตรง หรือ การลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทหุ้นปันผล รวมทั้งหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาลในอัตราสูง ซึ่งหุ้นปันผลดี ที่แนะนำได้แก่ TISCO, WHA, SCCC, KKP, BEM ส่วนหุ้นปันผลสูง แนะนำเก็งกำไร AP, QH, SC SPALI, PSH, LPN
ขณะที่ “สุทธิชัย คุ้มวรชัย” นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า หุ้นกลุ่มพลังงาน เป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าแนวโน้มก็จะยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 4%ต่อปี ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของเงินปันผลทั้งตลาดอยู่แล้ว
“ในงวดปี 2561 ผลประกอบการกลุ่มพลังงาน อาจได้เห็นบางบริษัทรายงานผลขาดทุนจากเดิมที่มีกำไรซึ่งกลุ่มนี้กำไรจะมีความผันผวนสูง แต่ถ้าพิจารณาทั้งกลุ่มค่าเฉลี่ยของยิลด์ปันผลก็ยังสูงกว่าภาพรวมตลาดได้เช่นกัน”
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มพลังงานในงวดปี 2562 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และปัจจัยที่จะต้องติดตาม คือ เรื่องของทิศทางราคาน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจโลก ความชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่าหากดัชนีระดับ1,620 จุดนั้น เทียบเท่ากับการซื้อขายที่พีอีเรโชล่วงหน้าที่ 14 เท่า ซึ่งน่าจะเป็นระดับสมดุลในระยะสั้น ในเชิงกลยุทธ์ ยังคงแนะนำถือหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูง 5 ตัวตามที่แนะนำต่อไป หุ้นPTT, SCC, ADVANC, BBL, KTB ซึ่งยังคงปรับตัวดีกว่าตลาดได้เป็นอย่างดี
ฝ่ายวิจัยได้วิเคราะห์กลุ่มโรงกลั่น แบ่งเป็นช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งได้เลือก IRPC เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม จาก Product yield ที่มีดีเซลในสัดส่วนสูง เนื่องจากคาดว่า ผลต่างระหว่างราคานํ้ำมันสําเร็จรูป(Crack spread) ของดีเซลจะมีราคาสูงที่สุด และเลือก PTTGC เป็นหุ้นที่น่าซื้อลงทุน เนื่องจากการที่ ประสิทธิภาพการผลิตเป็นรอง IRPC เล็กน้อย แต่มีการกระจายรายได้ไปยังธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมองว่าอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าธุรกิจปิโตรเลียม
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะมีซัพพลายของเชลล์ออยล์( Shale oil)ออกมาจากสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น จึงทำให้โรงกลั่นที่สามาถใช้น้ำมันดิบที่ค่อนข้างเบาในสัดส่วนที่สูง จะมีความได้เปรียบ ซึ่งก็คือ TOP และ BCP นั่นเอง จึงเลือกเป็นหุ้นเด่นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี แนะนำให้ซื้อเก็งกำไร หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง 1.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือ เพิ่มขึ้น 2.6% มาปิดที่ 49.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากการคาดการณ์ว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะมีความคืบหน้าเชิงบวก
นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตลง 460,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาของกลุ่มโอเปกอีกด้วยรวมทั้งการที่ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าในช่วงนี้ก็เป็นบวกกับราคาน้ำมันอีกด้วย โดยราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 4.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือ เพิ่มขึ้น 8.99% นับจากต้นปีซึ่งเป็นบวกโดยตรงกับผู้ผลิตปิโตรเลียมอย่าง PTTEP ในขณะที่โรงกลั่นก็ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวขึ้นจาก 2.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นบวกกับหุ้น TOP SPRC PTTGC และ IRPC
โดยให้ TOP เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม ส่วนปิโตรเคมีก็ได้อานิสงส์จาก spread margin ที่เพิ่มสูงขึ้นโดยสัปดาห์ที่ผ่านมา spread margin ของโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นบวกกับ หุ้น PTTGC TOP IRPC โดยกลุ่มนี้ให้ PTTGC เป็นหุ้นเด่น