Finance

ลุ้น 6 หุ้นพลังงานยิลด์ปันผลปังสุด!!

ตลาดหุ้นไทยช่วงต้นปี2562 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากดัชนีฟื้นกลับมายืนใกล้ระดับ 1,600จุด และเมื่อตลาดผันผวน หุ้นปันผลถือเป็นหุ้นที่สามารถใช้เป็นหลุมหลบภัยในการลงทุนได้เป็นอย่างดี

สำหรับหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีสูง และสามารถชนะอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของภาพรวมตลาด คือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี  ซึ่งในผลประกอบการงวดปี 2561 กลุ่มดังกล่าวก็น่าจะให้ผลตอบแทนไม่แพ้กับปีที่ผ่านมา

ผลตอบแทนเงินปันผล 01

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ประเมินว่า โดยปกติแล้วหุ้นในกลุ่มกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีจะให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผล(ยิลด์)ต่อปีที่มากกว่าตลาดโดยรวม ซึ่งจากข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยมากกว่า ดัชนีรวมอย่างมาก โดยปันผลปี 2558 อยู่ที่ 8.2% เทียบอัตราปันผลเฉลี่ยของดัชนีรวมอยู่ที่ 3.3%; ปี2559 อยู่ที่ 5.1% เทียบกับดัชนีรวมที่ 3.4% และ ปี 2560 5.0% เทียบดัชนีรวมอยู่ที่ 3.1%

หากอิงอัตราการจ่ายเงินปันผลที่เท่ากับปีที่แล้ว ฝ่ายวิจัยคาดผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มพลังงานสำหรับปี 2561 อยู่ที่ 4.6% เทียบกับดัชนีรวมอยู่ที่ 3.2% โดยคาดบริษัทที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงสุดสำหรับครึ่งปีหลังปี 2561 ประกอบด้วย PTTGC, PTTEP, SPRC, PTT, BANPU และ TOP ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า หุ้นประเภท ปันผลดี-ปันผลสูง จะเป็นกลุ่มที่มีการปรับตัวขึ้นแรงกว่าดัชนีตลาดรวม โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดยังมีความเสี่ยงในการลงทุน อยู่ในระดับสูง ทั้งจากปัญหา เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลอดจนการเมืองทั้งใน และ ต่างประเทศ ซึ่งมีผลต่อความไม่แน่นอนของประมาณการณ์กำไร บริษัทจดทะเบียน โดยคาดหุ้นปันผลที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลดีกว่าเงินเฟ้อ และเงินฝาก จะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากกระแสเคลื่อนย้ายเงินทุนทั้งจากเงินฝากในสถาบันการเงิน และพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอน รวมทั้งการลงทุนโดยตรง หรือ การลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทหุ้นปันผล รวมทั้งหุ้นที่มีปันผลระหว่างกาลในอัตราสูง  ซึ่งหุ้นปันผลดี ที่แนะนำได้แก่ TISCO, WHA, SCCC, KKP, BEM ส่วนหุ้นปันผลสูง แนะนำเก็งกำไร AP, QH, SC SPALI, PSH, LPN

ขณะที่ “สุทธิชัย คุ้มวรชัย” นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า หุ้นกลุ่มพลังงาน เป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าแนวโน้มก็จะยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 4%ต่อปี ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของเงินปันผลทั้งตลาดอยู่แล้ว

“ในงวดปี 2561 ผลประกอบการกลุ่มพลังงาน อาจได้เห็นบางบริษัทรายงานผลขาดทุนจากเดิมที่มีกำไรซึ่งกลุ่มนี้กำไรจะมีความผันผวนสูง แต่ถ้าพิจารณาทั้งกลุ่มค่าเฉลี่ยของยิลด์ปันผลก็ยังสูงกว่าภาพรวมตลาดได้เช่นกัน”

set30

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มพลังงานในงวดปี 2562 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และปัจจัยที่จะต้องติดตาม คือ เรื่องของทิศทางราคาน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจโลก ความชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่าหากดัชนีระดับ1,620 จุดนั้น เทียบเท่ากับการซื้อขายที่พีอีเรโชล่วงหน้าที่ 14 เท่า ซึ่งน่าจะเป็นระดับสมดุลในระยะสั้น ในเชิงกลยุทธ์ ยังคงแนะนำถือหุ้นขนาดใหญ่ปันผลสูง 5 ตัวตามที่แนะนำต่อไป หุ้นPTT, SCC, ADVANC, BBL, KTB ซึ่งยังคงปรับตัวดีกว่าตลาดได้เป็นอย่างดี

ฝ่ายวิจัยได้วิเคราะห์กลุ่มโรงกลั่น แบ่งเป็นช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้  ซึ่งได้เลือก IRPC เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม จาก Product yield ที่มีดีเซลในสัดส่วนสูง เนื่องจากคาดว่า ผลต่างระหว่างราคานํ้ำมันสําเร็จรูป(Crack spread) ของดีเซลจะมีราคาสูงที่สุด และเลือก PTTGC  เป็นหุ้นที่น่าซื้อลงทุน เนื่องจากการที่ ประสิทธิภาพการผลิตเป็นรอง IRPC เล็กน้อย แต่มีการกระจายรายได้ไปยังธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมองว่าอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าธุรกิจปิโตรเลียม

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะมีซัพพลายของเชลล์ออยล์( Shale oil)ออกมาจากสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น จึงทำให้โรงกลั่นที่สามาถใช้น้ำมันดิบที่ค่อนข้างเบาในสัดส่วนที่สูง จะมีความได้เปรียบ ซึ่งก็คือ TOP  และ BCP  นั่นเอง จึงเลือกเป็นหุ้นเด่นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

set25 1

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี แนะนำให้ซื้อเก็งกำไร หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง 1.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือ เพิ่มขึ้น 2.6% มาปิดที่ 49.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากการคาดการณ์ว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะมีความคืบหน้าเชิงบวก

นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตลง 460,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาของกลุ่มโอเปกอีกด้วยรวมทั้งการที่ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าในช่วงนี้ก็เป็นบวกกับราคาน้ำมันอีกด้วย โดยราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 4.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือ เพิ่มขึ้น 8.99% นับจากต้นปีซึ่งเป็นบวกโดยตรงกับผู้ผลิตปิโตรเลียมอย่าง PTTEP ในขณะที่โรงกลั่นก็ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวขึ้นจาก 2.8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นบวกกับหุ้น TOP SPRC PTTGC และ IRPC

โดยให้ TOP เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม  ส่วนปิโตรเคมีก็ได้อานิสงส์จาก spread margin ที่เพิ่มสูงขึ้นโดยสัปดาห์ที่ผ่านมา spread margin ของโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นบวกกับ หุ้น PTTGC TOP IRPC โดยกลุ่มนี้ให้ PTTGC เป็นหุ้นเด่น

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight