ผลสำรวจชี้ ค่ายรถยนต์โลกวางแผนที่จะใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้น 300,000 ล้านดอลลาร์ โดยกว่าครึ่งหนึ่งของเงินจำนวนนี้ พุ่งเป้าไปที่จีน การเคลื่อนไหวที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเร็วขึ้น และทำให้ผู้จัดหาแบตเตอรี่ และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในเอเชีย มีอิทธิพลมากขึ้น
รอยเตอร์ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลจากบริษัทรถยนต์ 29 รายทั่วโลก พบว่า การใช้จ่ายที่สูงเกินความคาดหมาย และส่วนใหญ่มากจากโฟล์กสวาเก้น ค่ายรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนีนี้ ได้รับแรงหนุนหลักจากการปฏิบัติตามนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ที่ช่วยลดต้นทุนแบตเตอรี ลดระยะเวลา และจำนวนครั้งในการชาร์จไฟ จนทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความน่าสนใจมากขึ้นในสายตาของผู้บริโภค
บรรดาผู้บริหารในอุตสาหกรรมรถยนต์ระบุว่า เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว ที่จีนพยายามวิ่งไล่ให้ทันผู้ผลิตรถยนต์เยอรมนี ญี่ปุ่น และอเมริกัน ที่ครบครองเทคโนโลยียานยนต์ระบบสันดาปภายใน และในปัจจุบัน จีนก็อยู่ในสถานะผู้นำการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า
“อนาคตของโฟล์กสวาเก้นจะถูกตัดสินใจตลาดจีน โดยจีนกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจรถยนต์โลก” เฮอร์เบิร์ต ดีส ซีอีโอโฟล์กสวาเก้น กล่าว
เขาบอกด้วยว่า สิ่งที่บริษัทค้นพบในจีน คือ สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนารถยนต์รุ่นต่อไป และโฟล์กสวาเก้นก็ค้นพบทักษะที่เหมาะสม เทียบกับการที่พบแค่บางส่วนในยุโรป หรือตลาดอื่นๆ
การที่จีน และประเทศอื่นๆ เดินหน้าควบคุมรถยนต์เครื่องยนต์เบนซิน และดีเซลแบบดั้งเดิมมากขึ้น ทำให้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์พากันเร่งพัฒนารถไฟฟ้าขึ้นมา โดยเมื่อราว 1 ปีที่แล้ว ค่ายรถยนต์เหล่านี้กล่าวว่า พวกเขามีแผนที่จะใช้จ่ายราว 90,000 ล้านดอลลาร์ ในการพัฒนารถไฟฟ้า
แผนการใช้จ่ายโดยรวม 300,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในจีน ยุโรป และอเมริกาเหนือ มีมูลค่าสูงกว่าขนาดเศรษฐกิจอียิปต์ หรือชิลี อย่างมาก
การศึกษายังพบว่า เกือบ 1 ใน 3 ของยอดเงินใช้จ่ายด้านรถไฟฟ้าโดยรวมของอุตสาหกรรม หรือราว 91,000 ล้านดอลลาร์ เป็นการใช้จ่ายโดยโฟล์คสวาเก้น กรุ๊ป ที่มีความพยายามอย่างมาก ในการฉีกตัวเองออกจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับรถยนต์ดีเซล คดีที่ทำให้บริษัทต้องเสียค่าปรับ และการไกล่เกลี่ยคดีไปหลายพันล้านดอลลาร์
โฟล์คสวาเก้นมีแผนที่จะเพิ่มการผลิตรถไฟฟ้าของบริษัทใน 3 ทวีปให้ได้ถึง 15 ล้านคันภายในปี 2568 รวมถึง รถยนต์ที่เป็นรถไฟฟ้าล้วนๆ 50 รุ่น และไฮบริดอีก 30 รุ่น ซึ่งที่สุดแล้ว บริษัทมีแผนที่จะทำให้รถยนต์ทั้ง 300 รุ่น ของแบรนด์รถยนต์ที่มีอยู่ในเครือทั้งหมด 12 แบรนด์ทั่วโลกเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด
การวิเคราะห์ยังแสดงให้เห็นว่า เกือบ 45% ของแผนใช้จ่ายเพื่อการลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างรถไฟฟ้าของอุตสาหกรรมรถยนต์โลก หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 135,000 ล้านดอลลาร์ เกิดขึ้นในจีน ประเทศที่มีการส่งเสิรมการผลิต และจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าอย่างหนัก ผ่านการออกมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ
อล็กซานเดอร์ มาเรียน กรรมการผู้จัดการอาลิกซ์พาร์ทเนอร์ส และผู้ร่วมเขียนรายงาน ที่คาดการณ์การใช้จ่ายรถไฟฟ้าโลกระหว่างปี 2561- 2566 ของค่ายรถยนต์ และซัพพลายเออร์ไว้ที่ 255,000 ล้านดอลลาร์ ระบุว่า ค่ายรถยนต์กำลังเร่งในเรื่องรถไฟฟ้า มีการเพิ่มงบใช้จ่ายด้านนี้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการมองหาพันธมิตร และหุ้นส่วนจำนวนมากขึ้น เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล
