จดหมายเปิดผนึกของ ม.ร.ว ปรีดิยาธร เทวกุล อดีต รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลประยุทธ์หนึ่ง หรือ หม่อมอุ๋ย ว่าด้วย “8 เหตุผล ที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก” ที่เผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ชิงความสนใจสังคมจากเหตุการณ์อื่นมาได้ไม่น้อย
สาเหตุหลักๆ นอกจากเครดิตผู้เขียนที่เคยร่วมงานกับรัฐบาลประยุทธ์ และดำรงตำแหน่งสำคัญๆทางเศรษฐกิจมาก่อนแล้ว จังหวะปล่อยของในห้วงเวลาที่ดีกรีการเมืองเริ่มระอุเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนกระแสเช่นกัน
สาระสำคัญในจดหมายเปิดผนึกฉบับดังกล่าวนั้น หม่อมอุ๋ยร่ายยาว ชนิดครอบคลุมทุกมิติ มีทั้งที่อิงข้อมูล และเป็นมุมมองส่วนตัวของเจ้าของจดหมายเอง โดยเป้าหมายชัดเจนว่า ประสงค์ชี้ชวนให้ผู้อ่านตระหนักถึงความไม่ชอบธรรมหลายๆ ประการที่ พล.อ. ประยุทธ์ ไม่สมควรกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
หม่อมอุ๋ยนำร่องเหตุผล 8 ข้อ ด้วยการชำแหละการใช้งบประมาณรายจ่ายในช่วง 3 ปี ของรัฐบาลประยุทธ์ว่านอกจากจะนำงบประมาณฯ ไปสร้างความนิยมแล้ว ยังก่องบประมาณ ผูกพันระยะ 5 ปี สูงสุดในประวัติศาสตร์ถึง 1,178,275 ล้านบาท
พร้อมกันนั้นหม่อมอุ๋ยเหมือนตั้งใจขีดเส้นทึบเน้นข้อมูล ที่ว่ากระทรวงกลาโหมมีงบประมาณผูกพันมากเป็นอันดับสอง 177,294 ล้านบาท (อันดับหนึ่งกระทรวงคมนาคม) และยัง พาดพิงถึงเรือดำน้ำว่า ถ้าได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าก็ไม่น่าซื้อ
ก่อนแฉว่ารัฐมนตรีคลังคนแรก(สมหมาย ภาษี ทีมหม่อมอุ๋ย ) เคยทำจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ค้านการซื้อเรือดำน้ำจากจีนมูลค่า (30,000 ล้านบาท) ก่อนถูกปรับออก เพราะต่อต้านโครงการจัดซื้อดังกล่าว แต่รัฐมนตรีคลังคนต่อมา (คนปัจจุบัน) กลับปล่อยผ่าน
จากนั้นไปปูดเรื่องความไม่โปร่งใสในการดำเนินนโยบายว่า เพื่อนๆ นายพล 5-6 คน ของพล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ พยายามผลักดันให้จัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ เพื่อถือสิทธิ์ทรัพยากรปิโตรเลียมทั่วประเทศ ผ่านร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม ทั้งที่ปัจจุบัน บมจ.ปตท.ทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว
หม่อมอุ๋ยชี้ว่า หากแผนการดังกล่าวสำเร็จซึ่งเท่ากับการบริหารพลังงานของไทยจะย้อนหลังกลับไปนับสิบปี
ประเด็นถัดมา หม่อมอุ๋ย แสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการรถไฟไทยจีน (กรุงเทพฯ –หนองคาย) ระยะทาง 253 กิโลเมตร มูลค่า 1.75 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลยกให้จีนทำทั้งระบบ ดยไม่เปิดโอกาสให้ชาติอื่นร่วมเสนอโครงการเพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่า
แล้วโยงต่อไปถึงการหมกเม็ด จะอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่กำหนดจำนวนสูงสุด ในพระราชบัญญัติเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) แต่ถูกตรวจพบและตัดออกเสียก่อน โดยหม่อมอุ๋ยระบุแผนการให้สิทธิต่างชาตินำแรงงานเข้ามา ทำงานโดยไม่จำกัดจำนวนนั้น เป็นผลงานผลักดันของ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับจีน ซึ่งหม่อมอุ๋ยมองว่าแนวทางดังกล่าวเป็นการละทิ้งกุศโลบายต่างประเทศของไทยที่เน้นรักษาสมดุลทุกฝ่ายเสมอมา
ก่อนพุ่งเป้าไปวิจารณ์ภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ต่อว่าเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ ในวาระที่จะมีผลต่อคะแนนนิยม โดยยกตัวอย่างกรณีเลื่อนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ภาษีที่ดิน ร่างพระราชบัญญัติภาษีทรัพย์สิน ที่กระทรวงการคลังเสนอให้พิจารณาตังแต่ปีแรก ทรัพย์สิน และโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ภาคใต้
อีกทั้งมีความใกล้ชิดกับกลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่ม โดยหม่อมอุ๋ยอ้างว่าเคยรับการร้องขอ จากพล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ โดยตรง ให้ดำเนินการบางประการเกี่ยวกับกับที่ดินให้กลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่ม
เท่านั้นยังไม่พอ หม่อมอุ๋ยยังแตะของร้อน โดยกล่าวทำนองว่า รัฐบาลปัจจุบันวางบทบาทให้ทหารอยู่เหนือข้าราชการพลเรือน และสามารถเรียกประชาชนไปปรับทัศนคติ ทำให้ประชาชนมองบทบาททหารเปลี่ยนไป และจะกลายเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความรุนแรงในอนาคตได้
ปิดท้ายหม่อมอุ๋ย สรุปความเห็นถึงเหตุผลที่ไม่อยากให้พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต่ออีกสมัยไว้ 8 ข้อ อาทิ การปฏิรูปที่เตรียมไว้ก็คงจะไม่สำเร็จเพราะความไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากกลัวเสียคะแนนนิยม แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านเพียงหยิบมือเดียว ฐานะการคลังของประเทศก็คงจะเสื่อมลงไปอีกเพราะขาดวินัยที่ดี
ต้องเป็นห่วงว่าจะมีการผลักดันให้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งจะมีผลเสียต่อเศรษฐกิจอีกหรือไม่ต้องเป็นห่วงว่า ประเทศไทยจะถูกแทรกซึมในธุรกิจการค้าโดยประเทศมหาอำนาจบางประเทศหรือไม่ การให้ประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดกับพล.อ.ประยุทธ์ จะสร้างความไม่พอใจให้ประชาชน และหากรวมเข้ากับความไม่พอใจในการที่ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน ก็อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้เป็นต้น
บทสรุปข้างต้นมีทั้งที่อิงฐานข้อมูล และแนวจินตนาการ ซึ่งคงมีทั้งคนค้าน หนุน และโหนกระแสฉวยไปสร้างประโยชน์ทางการเมือง ในขณะเดียวกัน หลายๆคนคงอยากรู้ว่า ข้อมูลที่ปรากฏในจดหมายเปิดผนึกฉบับนั้น จริงทั้งหมด หรือจริงๆ เท็จๆ โดยเฉพาะการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณสูงเป็นประวัติศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่งผู้เสียภาษี คงต้องการให้รัฐบาลชี้แจงโดยไว
ในมุมกลับกัน มีคำถามถึงหม่อมอุ๋ยเช่นกันว่า ทำไมจู่ๆ จึงลุกขึ้นมาแฉและจุดกระแส “โนประยุทธ์” เอาตอนนี้ หลังเก็บความลับมา 3 ปี