สงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐ สร้างความสูญเสียให้กับทั้ง 2 ฝ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม รวมถึง รถยนต์ เทคโนโลยี และหนักที่สุดคือ เกษตรกรรม
นักเศรษฐศาสตร์หลายรายพากันชี้ให้เห็นถึงผลกระทบในวงกว้างของการขึ้นภาษีตอบโต้กันของ 2 ประเทศ ซึ่งแม้อุตสาหกรรมเฉพาะด้าน รวมถึง ถั่วเหลืองของสหรัฐ จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่โดยรวมแล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายให้กับทั้ง 2 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก
อย่างไรก็ดี ยังมีความหวังอยู่บ้างว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น อาจจูงใจให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน หาทางแก้ไขความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องการค้าได้สำเร็จ ก่อนถึงกำหนดเส้นตาย 2 มีนาคม 2562 แม้การเจรจาของ 2 ฝ่ายจะยังอยู่ในระดับล่างเท่านั้น
วัลลีย์ ไทเนอร์ นักเศรษฐศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ระบุว่า เฉพาะเรื่องที่จีนขึ้นภาษีนำเข้าถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี และข้าวฟ่าง ก็สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐ และจีน ฝ่ายละประมาณ 2,900 ล้านดอลลาร์ต่อปี
การที่การค้าภาคเกษตร ส่งผลต่อทั้งคู่หนักเป็นพิเศษ ก็เพราะจีนเป็นประเทศผู้นำเข้าถั่วเหลืองรายใหญ่สุดของโลก และเมื่อปี 2560 ก็นำเข้าถั่วเหลือง เฉพาะจากสหรัฐ คิดเป็นมูลค่าราว 12,000 ล้านดอลลาร์
นับตั้งแต่ที่จีนประกาศจัดเก็บภาษี 25% ต่อถั่วเหลืองนำเข้าจากสหรัฐ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้สหรัฐที่ขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน แดนมังกรก็หันไปซื้อถั่วเหลืองเกือบทั้งหมดจากบราซิล
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นหนุนให้ราคาถั่วเหลืองบราซิล พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าราคาถั่วเหลืองสหรัฐ ในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ตลาดโภคภัณฑ์ชิคาโก สถานการณ์ที่ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างสงครามการค้า ที่ทำให้ยอดขายของผู้ส่งออกสหรัฐลดลง และทำให้ผู้นำเข้าจีนมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
“เรื่องพวกนี้กำลังเรียกร้องให้หาทางแก้ไขปัญหา เป็นสถานการณ์ที่ทำให้ทั้งสหรัฐ และจีน เสียหายทั้งคู่” ไทเนอร์ กล่าว
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2561 ยอดรวมการส่งออกสินค้าเกษตรสหรัฐ ไปยังจีนดิ่งลงจากปีก่อนถึง 42% มาอยู่ที่ราว 8,300 ล้านดอลลาร์
ในการที่จะชดเชยให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐได้กันงบประมาณราว 11,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งเพื่อจ่ายชดเชยโดยตรง และซื้อสินค้าเกษตรสำหรับโครงการอาหารของรัฐบาล
จีนเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการที่ผลิตภัณฑ์ อย่าง แบตเตอรีโทรศัพท์มือถือได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐ ทำให้ลูกค้าเริ่มหันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่นๆ แทน
ผลการศึกษาที่ดำเนินการโดยสมาคมเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภค แสดงให้เห็นว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐต่อสินค้านำเข้าจากจีน ทำให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมราว 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นอจากนี้ ยังสร้างแรงกดดันต่อภาคค้าปลีก การผลิต และก่อสร้างของสหรัฐ ที่ต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับเหล็ก และสินค้าอื่นๆ
ธนาคารกลางสหรัฐ สาขาดัลลัส ชี้ว่า แรงกดดันด้านราคาต่อการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการขึ้นภาษีนำเข้า โดยเฉพาะในภาคการผลิต และก่อสร้าง ทั้งบริษัทต่างๆ ยังเจอกับความยากลำบากที่จะผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ไปไว้ที่ผู้บริโภค
ค่ายรถยนต์รายใหญ่สุด 3 รายของสหรัฐ คือ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ฟอร์ด และเฟียต ไครสเลอร์ ออโตโมบิลส์ ต่างระบุว่า ต้นทุนจากภาษีที่สูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทในปีนี้ราว 1,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งฟอร์ด และเฟียต คาดการณ์ด้วยว่า จะได้รับผลกระทบแบบเดียวกันนี้ต่อเนื่องไปในปี 2562