Finance

ตะลึง!! ปี 61 มาร์เก็ตแคป ‘กลุ่มปตท.’ หายวับ 3 แสนล้าน

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2561 ถือว่าเป็นปีที่ดัชนีหุ้นไทยผันผวนแรง เฉพาะดัชนีได้ปรับตัวขึ้นทุบสถิตินิวไฮครั้งประวัติศาสตร์ที่ระดับ 1,838.96 จุด จากนั้นปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ระดับ 1,583.19 จุด  โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะเห็นว่า ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มีน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

เหตุผลที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง เป็นเรื่องของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน  ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เคยเชื่อว่าราคาน้ำมันไม่น่าจะปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ แต่ในความเป็นจริงราคากลับลดลงอย่างรุนแรงและต่ำกว่าระดับดังกล่าวแล้ว ดังนั้นทำให้นักวิเคราะห์ต้องปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มพลังงาน และจะส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

กลุ่มปตท.สูญมาร์เก็ตแคป 3 แสนล้านบาท 01

ส่งผลในช่วงเดือนธันวาคม 2561 มีแรงเทขายในหุ้นกลุ่มพลังงงานที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ จึงกดดันดัชนีหุ้นปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งแตะระดับนิวโลว์ในรอบปี

จากการสำรวจข้อมูลหุ้นกลุ่มบริษัทปตท. (PTT) ในปี 2561 พบว่า มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของทั้งกลุ่มหายไปกว่า 3.66 แสนล้านบาท  เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง สอดคล้องกับทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยช่วงต้นปีหุ้น PTT มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท สิ้นปีลดลงมาอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านบาท หุ้นปตท.สผ. (PTTEP) จากมาร์เก็ตแคป 4.7 แสนล้านบาท เหลือ 4.6 แสนล้านบาท

หุ้นพีทีทีโกลบอล (PTTGC) จากมาร์เก็ต 4.3 แสนล้านบาทเหลือ 3.24 แสนล้านบาท หุ้นไทยออยล์(TOP) จากมาร์เก็ตแคป 2.09 แสนล้านบาท เหลือ 1.34 แสนล้านบาท หุ้นไออาร์พีซี (IRPC) จากมาร์เก็ตแคป 1.5 แสนล้านบาท เหลือ 1.18 แสนล้านบาท และหุ้นโกลบอล เพาเวอร์ (GPSC)จากมาร์เก็ตแคป 1.24 แสนล้านบาทเหลือ 0.89 แสนล้านบาท

เมื่อหุ้นกลุ่มปตท.ซึ่งมีขนาดมาร์เก็ตแคปสูงระดับ 1 แสนล้านบาทปรับตัวลดลง เป็นต้นเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จากระดับ 18 ล้านล้านบาทในช่วงต้นปีปัจจุบันเหลือเพียง 16.30 ล้านล้านบาท

ราคาน้ำมันพุ่งสุดรอบ 3 ปีครึ่ง

ขณะที่ตอนนี้นักวิเคราะห์ได้ออกมาปรับประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มพลังงานลดลงแล้ว โดย บล.เอเซียพลัส  ยังเชื่อว่าความต้องการใช้น้ำมันโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงแรงกว่า Supply ที่ลดลง จากผลกระทบของสงครามการค้าโลก เห็นได้จากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งสหรัฐและจีนชะลอตัวชัดเจน  ทำให้ภาวะ  oversupply ยังมีอยู่  ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 54.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  ซึ่งต่ำกว่าสมมติฐานของฝ่ายวิจัยที่ประเมินไว้ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2562 และ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2563 เป็นต้นไป

พบว่าราคาน้ำมันที่ปรับลงทุกๆ  5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้กำไรปี 2562 และ 2563 ของหุ้น PTTEP ลดลง 13.3% และ 15.6% ส่วน PTT ลดลง 9.7% และ 7.0% สำหรับ PTTEP ฝ่ายวิจัยได้กลับมาแนะนำซื้อ เพราะปัจจัยบวกหลังชนะประมูลบงกชและเอราวัณ ซึ่งเพิ่มมูลค่าพื้นฐานปี 2562 ราว 20 บาท ทั้งนี้หากราคาน้ำมันดิบในระยะยาวปรับตัวลงทุก 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กระทบมูลค่าพื้นฐานของ PTTEP จะลดลงราว 10 บาทต่อหุ้น

ภรณี ทองเย็น” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมีปี 2562  ฝ่ายวิจัยได้ ปรับลดกำไรลงประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันปี 2562 ลง 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ย 70.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปี 2561 โดยปัจจุบันราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่ำกว่าที่คาดอีก ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม กลับส่งผลดีต่อ ผู้ที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนหลักคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ผู้ที่ได้รับผลบวกมากที่สุดจากราคาน้ำมันที่ลดลงคือ TASCO เนื่องจากนำเข้า Crude มาใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นเป็นยางมะตอย โดยราคาน้ำมันดิบที่ลดลงทุก 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะทำให้ TASCO มีต้นทุนในการผลิตยางมะตอยลดลง  63 ดอลลาร์ต่อตัน อีกบริษัทที่น่าจะได้ประโยชน์คือ DCC ที่มีต้นทุนค่าขนส่ง (อิงกับราคาน้ำมันดีเซล) คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 9% ของยอดขาย

ขณะที่ SCC แม้จะได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง เนื่องด้วยโครงสร้างกำไรของ SCC มาจากธุรกิจปิโตรเคมีเกือบ 70% ของกำไรรวม เพราะผลประกอบการจะสัมพันธ์กับ spread ของผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HDPE-Naphtha ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้ราคาวัตถุดิบ Naphtha ปรับลดลงตาม ในขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกยังทรงตัว หรือ ปรับลดลงในอัตราที่ช้ากว่า

เครื่องบิน2

 

ส่วนกลุ่มธุรกิจสายการบิน การลดลงของราคาน้ำมัน จะทำให้กลุ่มฯ มีต้นทุนที่ลดลง แต่ประโยชน์ที่ได้รับจะลดหลั่นกันไป ตามการ hedging หรือการป้องกันความเสี่ยงจากต้นทุนน้ำมันไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ ผู้ที่ hedge ไว้ต่ำจะได้ประโยชน์สูงสุด คือ หุ้น AAV โดยในไตรมาส 4 ปีนี้ทำไว้ 13% และเพียง 2% ในปี 2562 ตามด้วย หุ้น BA และหุ้น THAI แต่น่าจะถูกหักล้างจาก ภาวะการแข่งขันในธุรกิจที่สูงขึ้น และกำลังซื้อหรือยอดการท่องเที่ยวที่ลดลงโดยเฉพาะลูกค้าชาวจีน ที่ถูกกระทบจากสงครามการค้าและค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลง

ด้าน บล.เอเชียเวลท์ ประเมินว่า การที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลงมาอยู่ที่ 45.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 เบรนท์ร่วงลง 2.89 ดอลลาร์ หรือ 5.1% ปิดที่ 54.35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2560 นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย และราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด และแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอ

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยจึงปรับคาดการณ์กำไรสุทธิของบจ.รวมในไตรมาส 4/61 จากเดิม 2.85 แสนล้านบาท เป็น 2.53 แสนล้านบาท เนื่องจากคาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะมีกำไรสุทธิที่อ่อนแอลงในไตรมาส 4/61 จากการที่ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง เรายังคาดหวังดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวรับที่ 1,570 จุด และแนวต้าน 1,610 จุด

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight