ในเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมา “อองซาน ซูจี” เป็นที่รักของประชาคมโลก ได้รับการยกย่องจากองค์กรระดับโลก และบรรดาผู้นำทางการเมืองของประเทศต่างๆ ต่อความทุ่มเทต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และปฏิรูปประเทศบ้านเกิดมานานหลายทศวรรษ
แต่สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย ซูจีตกเป็นเป้าวิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญาในประเทศของเธอ ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ชี้ว่าการสังหารหมู่ และรุมโทรมหญิงโรฮิงญานั้น มีเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
เหล่าผู้นำโลก อาทิ นายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัดของมาเลเซีย ได้ตำหนิซูจีต่อเรื่องที่กองทัพเมียนมาโดนกล่าวหาดังกล่าว ทั้งรัฐบุรุษวัย 93 ปีรายนี้ ยังกล่าวถึงการตอบสนองของซูจีต่อเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ระหว่างการหารือเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ของสหรัฐ ยังบอกกับเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพรายนี้ว่า การประหัตประหารที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือกองทัพเมียนมานั้น เป็นเรื่องที่หาข้อแก้ตัวไม่ได้เลย
บางรายยังไปไกลกว่าแค่การออกมาวิจารณ์ โดยองค์กรต่างๆ จำนวนหนึ่ง พากันประกาศเรียกคืนรางวัล หรือเกียรติยศต่างๆ ที่มองให้กับผู้นำทางพฤตินัยของเมียนมา
มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม ของเกาหลีใต้ เป็นองค์กรล่าสุด ที่เรียกคืนรางวัลเกียรติยศคืนจากเธอในสัปดาห์นี้
แม้ซูจี จะสามารถรักษารางวัลโนเบล สาขาสันติภาพไว้ได้ เพราะกฎของคณะกรรมการโนเบล ห้ามเรียกคืนรางวัล แต่หลายประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศจำนวนมาก ต่างพร้อมใจพาตัวออกห่างจากเธอ หรือตัดสัมพันธ์กับซูจี สตรีที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับเสียงชื่นชมไปทั่วโลก
ต่อไปคือรางวัล และเกียรติยศต่างๆ ที่ถูกเรียกคืนจากซูจี เพราะปัญหาโรฮิงญา
รางวัลสิทธิมนุษยชนกวางจู
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม หนึ่งในกลุ่มสิทธิมนุษยชนขนาดใหญ่สุดของเกาหลีใต้ ประกาศยึดคืนรางวัลสิทธิมนุษยชนกวางจู ที่มอบให้กับซูจี เมื่อปี 2557
โฆษกมูลนิธิระบุว่า การเฉยเมยต่อความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาเป็นสิ่งที่ขัดกับจุดยืนของรางวัลนี้ ที่มีขึ้นเพื่อการปกป้อง และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
รางวัลทูตแห่งมโนธรรมสำนึก
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล หรือนิรโทษกรรมสากล ได้เรียกคืนรางวัลที่ได้ชื่อว่าเป็นรางวัลที่ทรงคุณค่าสูงสุดในด้านสิทธิมนุษยชนคืนจากซูจี ที่ทางองค์กรมอบให้กับเธอเมื่อปี 2552 ขณะที่ซูจียังโดนกักบริเวณในบ้านพัก
องค์กรกล่าวหาผู้นำเมียนมารายนี้ว่า ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง จากการที่เธอนิ่งเฉยไม่ออกมาพูดอะไรเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา
แอมเนสตีบอกด้วยว่า นอกจากจะนิ่งเฉยแล้ว เธอยังแสดงท่าทีปกป้องกองกำลังรักษาความปลอดภัยให้รอดพ้นจากการได้รับโทษในความรุนแรงที่พวกเขาก่อขึ้นต่อชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าอับอาย และทรยศต่อหลักการที่ครั้งหนึ่งเธอเคยยืนหยัดเพื่อมัน
รางวัลเอลี วีเซล
พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สหรัฐ เรียกคืนรางวัลสูงสุดของทางพิพิธภัณฑ์ที่มอบให้กับซูจี เป็นคนแรกเมื่อปี 2555 โดยให้เหตุผลถึงความล้มเหลวของเธอในการประนาม และยุติการโจมตีทางทหารต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา
ในจดหมายที่โพสต์ไว้บนเว็บไซต์นั้น ทางพิพิธภัณฑ์ระบุว่าอองซาน ซูจี และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของเธอ ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สืบสวนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ส่งเสริมการโจมตีด้วยความเกลียดชังต่อชาวโรฮิงญา และปฏิเสธไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปยังพื้นที่ ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเกิดการใช้ความรุนแรงขึ้น
รางวัลราษฏรเกียรติยศ
ในปีนี้ หลายเมืองในชาติตะวันตก รวมถึง ปารีส เอดินเบอระ กลาสโกว์ อ็อกซ์ฟอร์ด เชฟฟิลด์ ดับลิน และนิวคาสเซิล ต่างพากันเรียกคืนรางวัลเสรีภาพกิติศักดิ์ หรือราาฏรเกียรติยศคืนจากซูจี
พลเมืองกิติมศักดิ์แคนาดา
รัฐสภาแคนาดาลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เรียกคืนสถานะพลเมืองกิติมศักดิ์คืนจากซูจี โดยมีสาเหตุหลักมาจากวิกฤติโรฮิงญา ที่ทางการแคนาดาเคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
มติดังกล่าว ทำให้ซูจี ที่ได้รับรางวัลนี้เมื่อปี 2550 กลายเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์แคนาดาที่โดนถอดสถานะพลเมืองกิติมศักดิ์
ประธานกิติมศักดิ์ สมาคมนักศึกษาเศรษฐศาสตร์วิทยาลัยลอนดอน
สื่อท้องถิ่นของอังกฤษ รายงานว่า สมาคมนักศึกษาเศรษฐศาสตร์วิทยาลัยลอนดอน เตรียมลงมติที่จะถอดถอนซูจีออกจากตำแหน่งประธานกิติมศักดิ์ เพื่อเป็นการแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ คัดค้านการกระทำของซูจี ที่นิ่งเฉยต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
