หลังจากโรงภาพยนตร์ลิโด ที่มีอายุ 50 ปี นับจากเปิดตัวครั้งแรกในปี 2511 เริ่มต้นด้วยโรงภาพยนตร์ 1 โรง และปรับรูปแบบสู่มัลติเพล็กซ์ เพิ่มจำนวนเป็น 3 โรง ในปี 2536 ถือเป็นตำนานไลฟ์สไตล์ใจกลางเมืองย่านสยามสแควร์ วันที่ 31 พฤษภาคม 2561 กลุ่ม Apex ผู้ประกอบการโรงหนังลิโด หมดสัญญาเช่าพื้นที่กับสำนักทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) พร้อมปิดฉากโรงหนังลิโด แหล่งกำเนิดไลฟ์สไตล์ยุค 70
ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองอธิการบดี ด้านการจัดการทรัพย์สินและนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าหลังกลุ่มเอเพ็กซ์ หมดสัญญาเช่าพื้นที่โรงหนังลิโด โดยไม่ได้ขอต่อสัญญาอีก เพราะไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ สำนักทรัพย์สินฯ ได้รับการติดต่อเพื่อเสนอแผนบริหารพื้นที่ดังกล่าว 3-4 ราย แต่การพิจารณาเลือกผู้เช่าใหม่ จะดูจากการเปิดโอกาสการใช้พื้นที่สยามสแควร์ให้เป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมของทุกกลุ่ม รวมทั้งเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“นโยบายของเรา ไม่ได้มองเรื่องการหารายได้สูงสุด แต่มองเรื่องการสร้างคุณค่าเพิ่มให้สังคม จากพื้นที่ที่เรามีอยู่ เพื่อสร้างให้เกิดการเรียนรู้ พัฒนาธุรกิจที่สร้างคุณภาพชีวิต ผ่านการให้โอกาสผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพ”
ปัจจุบันย่านใจกลางเมืองสยามสแควร์ มีพื้นที่ห้างสรรพสินค้าและศูนย์กลางค้าจำนวนมาก การพัฒนาพื้นที่โรงหนังลิโด จึงมองหา “พันธมิตร” ที่จะเข้ามาบริหารพื้นที่ใจกลางเมือง ที่แตกต่างจากรูปแบบค้าปลีกเดิม สำนักทรัพย์สินฯ ได้เลือก บริษัท เลิฟอีส เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ของค่ายเพลง Love is เข้ามาบริหารพื้นที่โรงหนังลิโด ด้วยสัญญา 5 ปี โดยมีค่าเช่าคงที่ส่วนหนึ่ง และแบ่งรายได้จากการบริหารพื้นที่ร่วมกัน โดยสำนักทรัพย์สินฯ ได้ใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโรงหนังลิโดใหม่
“เราเลือก เลิฟอีส เข้ามาบริหารพื้นที่โรงหนังลิโด เพราะมีเจตนารมณ์คล้ายกัน คือไม่มองเรื่องการสร้างรายได้สูงสุด และเป็นพันธมิตรที่จะเข้ามาพัฒนาพื้นที่สร้างคอมมูนิตี้ ที่เริ่มจากดนตรี สู่กลุ่มต่างๆ ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อสร้างคอนเทนท์ใหม่ เพื่อกลายเป็นเดสทิเนชั่นใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ”
แหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมทุกแขนง
เทพอาจ กวินอนันต์ ประธานบริหารกลุ่มเลิฟอีส เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน เลิฟอีส ไม่ใช่ค่ายเพลงเท่านั้น แต่มีความแข็งแกร่งเรื่องคอนเทนท์ ศิลปิน และเครือข่ายอื่นๆ ดังนั้นการเข้ามาบริหารพื้นที่โรงหนังลิโดเก่า ได้ปรับสู่ Lido Connect โดยยังคงใช้ชื่อ Lido แต่เพิ่มคำว่า Connect เพื่อย้ำเป้าหมายที่ต้องการเชื่อมทุกกลุ่มเข้าไว้ด้วยกันโดยไม่ปิดกั้น
การปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้งบลงทุนเพิ่มเติม 30 ล้านบาท ด้วยคอนเซ็ปต์ Back to Original โดยยังเก็บพื้นที่โรงภาพยนตร์ที่เป็นตำนานโรงที่ 1 และ 2 ไว้ฉายภาพยนตร์เช่นเดิมพร้อมตกแต่งใหม่ และปรับพื้นที่โรงที่ 3 ให้ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการแสดงงานด้านศิลปวัฒนธรรมแขนงต่างๆ ทั้งดนตรี การแสดงโชว์ทุกรูปแบบ โดยเปิดกว้างให้ศิลปินทุกค่ายเข้ามาใช้พื้นที่ทำการแสดง พร้อมทั้งเพิ่มพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสมาใช้บริการ
รูปแบบการหารายได้จะมาจากการจำหน่ายตั๋วชมภาพยนตร์ การใช้พื้นที่จัดกิจกรรม และอีเวนท์ รวมทั้งมีพื้นที่เช่าสำหรับผู้ประกอบการบางส่วน โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการออนไลน์ที่สนใจเข้ามาเช่าพื้นที่ประกอบกิจการ โดยได้จัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งเพื่อมอบให้โครงการซีเอสอาร์ต่างๆ
“ด้วยแนวคิดเชื่อมโยงทุกกลุ่ม เปิดกว้างให้งานแสดงหลากหลายประเภทและศิลปินต่างๆ มาใช้พื้นที่ทำการแสดง และจุดเด่นการเดินทางสะดวด เชื่อว่าจะมีผู้ชมสนใจมาเสพคอนเทนท์และงานศิลปะแขนงต่างๆ มากขึ้น และทำให้ Lido Connect เป็นเดสทิเนชั่นใหม่ของกรุงเทพฯ”
“ลิโด้” ใหม่สู่ Connection Hub
ด้าน บอย โกสิยพงษ์ ผู้ก่อตั้งเลิฟอีส กล่าวว่าเดิมโรงภาพยนตร์ “ลิโด” จะเขียนแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่ยุค 70 ขณะที่การออกเสียงอ่านว่า “ลิโด้” ดังนั้นการเข้ามาบริหารพื้นที่ของเลิฟอีฟ จึงวางแนวคิดนำ “โน้ตไทยที่มีอยู่ 5 โน้ต” มาเสริมคอนเซ็ปต์ของพื้นที่โรงภาพยนตร์ ที่จะเปลี่ยนมาเขียนว่า “ลิโด้” โดยเติมไม้โท เข้าไปในชื่อ เพื่อสื่อความหมายของโน้ตตัวกลาง ที่เปิดกว้างใหศิลปินทุกค่ายได้ใช้พื้นที่ และสื่อถึงการทำสิ่งที่มากกว่าเดิมอีกสองเท่า
“เมื่อเรามีโอกาสเข้ามาบริหารพื้นที่ลิโด้ ที่เป็นย่านใจกลางกรุงเทพฯ จึงต้องการแบ่งพื้นที่ที่ดีที่สุด ให้กับกลุ่มคนต่างๆ ที่มีความคิดแบบเดียวกัน มาใช้ประโยชน์จากพื้นที่ร่วมกัน และเชื่อมโยงกันเป็น Connection Hub ทุกรูปแบบ ทุกอาชีพและผลิตภัณฑ์
ขณะที่ นภ พรชำนิ ศิลปินค่ายเลิฟอีส กล่าวว่าพื้นที่ Lido Connect เปิดโอกาสให้เป็นพื้นที่การแสดงความสามารถของศิลปินทุกคน และเปิดกว้างทำงานร่วมกับทุกสาขาอาชีพ รวมทั้งเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมที่หลากหลาย ด้านการสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ โดย ลิโด้ คอนเนค จะเปิดให้บริการ วันที่ 1 พฤษภาคม 2562