Lifestyle

วิจัยความสุขคนทำงาน 7 ชาติ พบไทยเกือบรั้งท้าย

write 593333 640

เปิดดัชนีความสุขในการทำงานของพนักงานไทย พบ 3 ปัจจัยสร้างความสุขให้แก่พนักงาน ได้แก่ สถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกและทำงานที่ไหนก็ได้ที่ตนเองต้องการ ความมีชื่อเสียงขององค์กร และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ด้านภาพรวมประเทศไทยอยู่อันดับเกือบรั้งท้าย แถมพนักงานผู้น้อยยังมีความสุขน้อยที่สุดด้วย


โดยผลการวิจัยดังกล่าวมาจากบริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัดที่ได้จัดทำผลสำรวจดัชนีความสุขในการทำงานของพนักงานไทย จำนวน 1,108 คน ในปี 2560 พบ 60% ของคนไทยมีความสุขกับการทำงาน โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนดัชนีความสุขคิดเป็น 4.55 คะแนน น้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2559 แต่สอดคล้องกับแนวโน้มของดัชนีความสุขในการทำงานอีก 6 เดือนข้างหน้าที่ลดลงเหลือ 4.51 คะแนน โดย 5 สายงานที่มีความสุขในการทำงานสูงสุดในปี 2560 ได้แก่

  • งานบริหาร (4.95 คะแนน)
  • งานธุรการและทรัพยากรบุคคล (4.94 คะแนน)
  • งานวิศวกรรม (4.86 คะแนน)
  • งานไอที (4.74 คะแนน)
  • งานขนส่ง (4.73 คะแนน)

เมื่อเทียบระดับความสุขของพนักงานในอีก 6 ประเทศที่ร่วมทำการสำรวจครั้งนี้ คือ ฮ่องกง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย พบว่าพนักงานไทยมีระดับความสุขเป็นอันดับที่ 5 (ปีก่อนได้อันดับ 3) รองจาก อินโดนีเซีย (5.27) เวียดนาม (5.19) ฟิลิปปินส์ (4.97) และมาเลเซีย (4.65) รั้งท้ายด้วย ฮ่องกง (4.45) และสิงคโปร์ (4.31)

โดยความสุขของแต่ละตำแหน่งงานนั้น จัดลำดับจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้

  • ผู้บริหารระดับสูง คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.19 คะแนน
  • ผู้จัดการ คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.64 คะแนน
  • หัวหน้างาน คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.54 คะแนน
  • เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการทั่วไปที่มีอายุงานตั้งแต่ 1 – 4 ปี คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 คะแนน
  • เด็กจบใหม่ หรือพนักงานที่มีประสบการณ์ทำงานน้อยกว่า 1 ปี คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.35 คะแนน

5

เมื่อถามถึงปัจจัยที่จะทำให้พนักงานมีความสุขมากขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่า 37% ของพนักงานที่ตอบแบบสอบถามเลือกลาออกจากงานเพื่อหางานใหม่ ขณะที่ 20% จะพอใจกับชีวิตการทำงานในองค์กรเดิมมากขึ้นหากได้รับการปรับเงินเดือน และ 8% จะมีความสุขกับการทำงานมากขึ้นหากได้รับการยอมรับในผลงานหรือได้รับรางวัลจากการทำงาน

ก่อนหน้านี้คนทำงานจะเลือกงานที่มีความมั่นคง มีหลักประกันชีวิต เพราะคำนึงถึงการเริ่มต้นชีวิตในหลาย ๆ ด้าน ทั้งชีวิตการทำงานหรือเริ่มต้นสร้างชีวิตครอบครัวของตนเอง ขณะที่มนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ ๆ ใช้ “ความต้องการ” เป็นตัวแปรในการตัดสินใจเลือกงานและองค์กร คนกลุ่มนี้ไม่กดดันตัวเองด้วยการเอาปัจจัยเรื่องความมั่นคง และเงิน มาสร้างกรอบให้ตัวเองติดอยู่กับ Comfort Zone เพราะไม่ใช่กลุ่มคนที่ภักดีกับองค์กร

อย่างไรก็ดีปัจจัยที่ส่งผลให้คนทำงานทั้ง 2 กลุ่มนี้มีความสุขในการทำงาน คือ ทำเลที่ตั้งของสถานที่ทำงาน ชื่อเสียงขององค์กร และเพื่อนร่วมงาน ขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลให้ความสุขของพนักงานลดลงคือ การได้ทำงานกับทีมผู้บริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ การอยู่ในองค์กรที่ไม่มอบโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน และการไม่มีโอกาสในการฝึกอบรมและพัฒนาตัวเอง

ตลอดปีที่ผ่านมีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อตลาดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มจำนวนของประชากรผู้สูงอายุ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งหุ่นยนต์และการพัฒนาระบบ AI ที่กำลังเติบโตจนส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน รวมทั้งการขยายตัวของสตาร์ทอัพที่ดึงดูดความสนใจคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นนายตัวเองให้ผันตัวไปเป็นสตาร์ทอัพมากขึ้น เช่นเดียวกันกับกลุ่มที่เลือกใช้โซเชียลมีเดียในการประกอบอาชีพที่มีความยืดหยุ่นทั้งเวลาและรายได้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

ความท้าทายของผู้นำองค์กรอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากสร้างรายได้และเพิ่มผลิตผลให้แก่องค์กรแล้ว ยังต้องสามารถสร้างแรงจูงใจ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเอกลักษณ์ได้อีกด้วย และกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร คือการส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานได้พัฒนาศักยภาพตัวเอง พร้อม ๆ กับการสร้างโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน เช่นเดียวกันกับการทำให้พนักงานได้เห็นต้นแบบที่มีศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้พนักงานสามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ยังคงมีความสุขกับการทำงานในทุก ๆ วันควบคู่กันไปด้วย

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight