Finance

KBANK ฟันธง!! เฟดขึ้นดอกเบี้ยส่งท้ายปีอีก 0.25%

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งท้ายปีอีก 0.25% มาอยู่ที่ 2.25 – 2.50% เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินเข้าใกล้ระดับปกติมากขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 2.00-2.25% มาที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบสุดท้ายของปี 2561 อย่างไรก็ดี เฟดคงจะเผชิญกับโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป หลังจากที่ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐปรับเข้าใกล้ระดับดุลยภาพ ทำให้ในปี 2562 การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของเฟด คงจะขึ้นอยู่กับการประเมินภาวะเศรษฐกิจและมีความไม่แน่นอนมากขึ้นกว่าในปี 2561 ที่ผ่านมา

“เฟดน่าจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบสุดท้ายของปีนี้ เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินเข้าใกล้ระดับปกติมากขึ้น ท่ามกลางการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวสูงกว่าศักยภาพการเติบโตในระยะยาว” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ

เฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย

ทั้งนี้ แม้ว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐบางตัวจะเริ่มมีสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะเครื่องชี้ที่อยู่อาศัย หลังจากที่เฟดดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจัยพื้นฐานการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในภาพรวมยังคงสนับสนุนเส้นทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นของเฟด เห็นได้จากดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่อยู่ในระดับ 59.3บ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกต่อภาคการผลิตของสหรัฐในระยะข้างหน้า

ขณะที่พัฒนาการตลาดแรงงานสหรัฐ แม้ว่าจะมีสัญญาณชะลอลงบ้างแต่โดยรวมการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานยังคงทำได้สูงกว่า วัฎจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบที่ผ่านมา (ค.ศ. 2004-2006) โดยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาที่ 2.04 แสนตำแหน่ง/เดือน เทียบกับ 1.90 แสนตำแหน่ง/เดือน ขณะที่ระดับการว่างงานยังคงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 49 ปีที่ระดับ 3.7% เทียบกับมุมมองอัตราการว่างงานตามธรรมชาติของเฟดที่ระดับ 4.0-4.6%

อย่างไรก็ตาม ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐมีมากขึ้นในระยะข้างหน้า อาจส่งผลให้เฟดคงจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 หลังจากที่ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเข้าใกล้ระดับที่เป็นปกติมากขึ้น

การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐทยอยหมดลง คงส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าแรงส่งจากมาตรการปรับลดภาษีเริ่มทยอยหมดลง กอปรกับการครองเสียงข้างมากของพรรคเดโมเครตในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐที่ส่งผลให้การพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของสหรัฐทำได้ลำบากมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงด้านการคลังอาจจะกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2562 ทยอยชะลอลงสู่ระดับการขยายตัวที่เป็นปกติมากขึ้น ทำให้ความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องคงมีน้อยลง

dollars

สำหรับความไม่แน่นอนในประเด็นข้อพิพาททางการค้ายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ คงส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนของปัจจัยดังกล่าวอันอาจส่งผลให้การจ้างงานในระยะข้างหน้าชะลอลงได้ นอกจากนี้ ในส่วนของผู้บริโภค หากสหรัฐมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้ารอบใหม่จากจีน ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหมวดอุปโภคบริโภคอันอาจจะเป็นปัจจัยกดดันภาคการบริโภคของสหรัฐ จากต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

การผลัดเปลี่ยนคณะกรรมการนโยบายการเงินในส่วนของเฟดสาขาในปี 2562 อาจส่งผลให้เฟดมีมุมมองระมัดระวังต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินที่มีสิทธิออกเสียงของเฟดในปี 2561 ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจากเฟดสาขาที่สนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (hawkish) ในขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินที่มีสิทธิออกเสียงของเฟดในปี 2561 จะมีองค์ประกอบของกรรมการที่ดำเนินนโยบายการเงินสายกลาง (centrist) มากขึ้น ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่เฟดอาจจะเว้นระยะการคงอัตราดอกเบี้ยในจังหวะที่นานขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้ามีความเหมาะสมกับพัฒนาการของเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับสูงขึ้น กอปรกับการการผลัดเปลี่ยนคณะกรรมการนโยบายการเงินที่คงจะมีมุมมองระมัดระวังต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น อาจจะส่งผลให้มีโอกาสมากขึ้นที่เฟดอาจจะเว้นระยะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า เพื่อรอประเมินภาพของพัฒนาการของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐโดยเฉพาะภาพของการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2562 รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงด้านการคลังที่อาจจะกลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2562 ยังคงรักษาการเติบโตที่สูงกว่าระดับศักยภาพในระยะยาว เฟดน่าจะสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้งภายในการประชุมเฟดเดือนมิถุนายน และมีโอกาสที่เฟดจะพิจาณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น

เงินดอลลาร์

“จุดสนใจของการประชุมเฟดในรอบเดือนธันวาคม 2561 นี้ ได้แก่ การเปิดเผยคาดการณ์มุมมองอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและมุมมองอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟด รวมทั้งมุมมองของตลาดการเงินต่อทิศทางการส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ

อย่างไรก็ตาม มองว่า เฟดน่าจะเน้นย้ำถึงดำเนินนโยบายการเงินตามพัฒนาการเศรษฐกิจ (data dependent) ขณะที่การเปิดเผยมุมมองเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยครั้งใหม่ อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เฟดน่าจะยังมีมุมมองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ในระดับค่อนข้างดีต่อเนื่อง ขณะที่มีโอกาสที่เฟดอาจจะปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อลงเล็กน้อย ทำให้โดยรวมแล้วเฟดอาจจะไม่ได้ส่งสัญญาณถึงเส้นทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า (dot-plot) ที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก อย่างไรก็ดี เฟดน่าจะส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินตามพัฒนาการเศรษฐกิจ (data dependent) ที่ชัดเจนขึ้น อันจะเปิดโอกาสให้เฟดสามารถปรับหรือชะลอจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

การตอบสนองของตลาดการเงิน ต่อการส่งสัญญาณอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ทั้งนี้ หากตลาดการเงินยังคงมีมุมมองที่แตกต่างต่อระดับอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเฟดส่งสัญญาณ โดยตลาดการเงินมองว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ไม่น่าจะขยับขึ้นจากระดับปัจจุบันได้มากนัก จากความกังวลต่อโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนพัฒนาการของเงินเฟ้อ ซึ่งความแตกต่างของมุมมองดังกล่าวทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเป็นแบบวกกลับ (Inverted Yield Curve) อันจะส่งผลเกิดความผันผวนในตลาดการเงินเนื่องจากตลาดการเงินมักตีความว่าการเกิด Inverted Yield Curve มักจะตามมาด้วยการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 1-2 ปีข้างหน้า

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK