Digital Economy

เดลล์เปิดผลวิจัย Gen Z ชอบทำงานเป็นทีม – รักเทคโนโลยี

เดลล์ร่วมกับ Dimensional Research องค์กรวิจัยอิสระ จัดทำแบบสำรวจออนไลน์นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับการศึกษาที่สูงกว่านั้นใน 17 ประเทศทั่วโลก โดยได้มีการแปลชุดคำถามในการสำรวจออกเป็น 12 ภาษา ซึ่งมีนักเรียน นักศึกษาที่อายุระหว่าง 16-23 ปี จำนวน 12,000 รายเข้าร่วมการตอบแบบสอบถาม รวมถึงประเทศไทยด้วย

pexels photo 935756

โดยสิ่งที่เดลล์ทำแบบสำรวจเป็นเรื่องของทัศนคติปัจจุบันและความคิดเห็นที่มีต่อเทคโนโลยีและสถานที่ทำงานในกลุ่มนักเรียนยุค Generation Z (หรือคนที่เกิดหลังปี 1996) ที่กำลังจะเริ่มทำงานภายในอีกไม่กี่ไปข้างหน้า ซึ่งพบว่าชาว Gen Z แม้จะมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แต่ยังกังวลว่าตัวเองจะขาดทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน (soft skills) และยังต้องการการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลเพิ่มมากขึ้น ขณะที่มืออาชีพระดับอาวุโสก็มีความหวาดเกรงที่จะโดนเด็กที่โตมาในยุคดิจิทัลแย่งเก้าอี้ในการทำงาน

งานนี้เรียกได้ว่ากลุ่มคนที่เกิดและโตมาในยุคดิจิทัล (Digital natives) กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของคนทำงาน โดย 97% ของชาว Gen Z ในประเทศไทย ต้องการที่จะทำงานด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทันสมัยที่สุด โดยมากกว่า 4 ใน 10 ให้ความสนใจในการทำงานด้านไอที ที่รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ และ 76% ของผู้ตอบการสำรวจทั้งหมด 722 ราย ต่างบอกว่าความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีของตัวเองนั้นอยู่ในระดับดี หรือดีเยี่ยม

อย่างไรก็ดี มีเพียง 60% ที่ยอมรับว่าการศึกษาที่ได้รับมีส่วนช่วยในการเตรียมความพร้อมให้พวกเขาเป็นอย่างดี

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีคนทำงานจากหลายเจเนอเรชั่น คำแนะนำจากเดลล์คือ องค์กรธุรกิจจะต้องช่วยให้พนักงานมีความเข้าใจพื้นฐานที่ตรงกันเพื่อความเท่าเทียม

02 Dell Gen Z
นายอโณทัย เวทยากร

“แทบจะเป็นที่รู้กันว่ากลุ่มคนที่เติบโตมาในยุคดิจิทัลมีทักษะด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลและเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่ Gen Z ยังมองว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับมนุษย์ แต่ยังเป็นเสมือนวิธีการในการยกระดับการแข่งขันที่ต้องอาศัยศักยภาพด้านข้อมูลอีกด้วย” นายอโณทัย เวทยากร รองประธานบริหาร เดลล์ อีเอ็มซี ภูมิภาคอินโดจีน กล่าว

จากผลการสำรวจบรรดานักเรียนในระดับมัธยม วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยกว่า 12,000 แห่งใน 17 ประเทศ รวมถึงผู้ตอบการสำรวจจำนวน 722 รายจากประเทศไทย และ 4,331 รายจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 23 ปี เผยให้เห็นภาพรวมของคนรุ่นเยาว์ที่มีต่อเทคโนโลยีและงานในอนาคต โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้

  • 98% ใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาอย่างจริงจัง
  • 91% กล่าวว่าเทคโนโลยีที่ผู้ว่าจ้างนำเสนอ จะเป็นองค์ประกอบการพิจารณาการเลือกงานในลักษณะเดียวกันที่เสนอเข้ามา
  • 80% ต้องการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้า โดย 38% ของกลุ่มนี้สนในงานด้านไอที 39% ต้องการทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ และ 46% ต้องการทำงานด้านการพัฒนาและวิจัยเทคโนโลยี ทั้งนี้ ในประเทศไทย มากกว่า 4 ใน 10 มีความสนใจงานด้านไอที รวมถึงการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ (48%)
  • 80% เชื่อว่าเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติจะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความเสมอภาคมากขึ้น โดยช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอคติและการแบ่งแยก

ผู้ตอบสำรวจในจำนวนที่สูงถึง 89% ต่างเข้าใจดีว่าเรากำลังก้าวสู่ยุคของความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (human-machine partnership) โดย 51% (ประเทศไทย 64%) ของบรรดาผู้เข้าร่วมการสำรวจเชื่อว่ามนุษย์และเครื่องกลจะทำงานร่วมกันเสมือนเป็นทีมเดียวกัน ในขณะที่ 38% (ประเทศไทย 30%) มองว่าเครื่องกลเป็นเสมือนเครื่องมือที่มนุษย์เรียกใช้ได้ตามต้องการ

pexels photo 1446264

การที่กลุ่มคน Gen Z เติบโตมาในยุคดิจิทัล ทำให้ชาว Gen Z ส่วนใหญ่ มีความมั่นใจในความสามารถด้านเทคโนโลยี โดยในประเทศไทย 76% ของคนกลุ่มนี้ ต่างระบุว่าความสามารถด้านเทคโนโลยีของตนอยู่ในระดับที่ดีหรือยอดเยี่ยม และ 73% กล่าวว่ามีทักษะในการเขียนโค้ด (coding skills) สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป และที่มากไปกว่านั้นก็คือ 95% ของชาว Gen Z ในประเทศไทย ปรารถนาที่จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้ความรู้ให้กับผู้ร่วมงานอายุมากกว่าที่อาจมีประสบการณ์เรื่องเทคโนโลยีน้อยกว่า

ในทางกลับกัน ชาว Gen Z มีความกังวลเกี่ยวกับทักษะที่เหมาะสมในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมไปถึงประสบการณ์ที่ผู้ว่าจ้างมองหาอีกด้วย โดยในส่วนของประเทศไทย เด็กจบใหม่เกือบทั้งหมด (96%) มีความกังวลใจเกี่ยวกับการว่าจ้างงานในอนาคต ตั้งแต่เรื่องของการขาดทักษะที่เหมาะสม ตลอดจนขาดประสบการณ์ในการทำงาน มีเพียง 60% ที่ระบุว่าการศึกษาของตนอยู่ในระดับดี หรือดีเยี่ยม ที่ช่วยให้ตนมีความพร้อมในการทำงาน

ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนที่เป็นมืออาชีพในระดับอาวุโส ก็มีความกังวลว่าจะโดนเด็กรุ่นใหม่แซงหน้า และบทบาทของผู้นำในอนาคตส่วนใหญ่จะกลายเป็นของเด็กรุ่นใหม่ที่โตมาในยุคดิจิทัล สอดคล้องตามการวิจัยของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ที่ว่า 87% ของผู้นำธุรกิจกลัวว่าองค์กรของตนจะพยายามมอบโอกาสด้านการทำงานที่ทัดเทียมให้กับคนต่างรุ่น

pexels photo 1068523

จากผลการศึกษาในประเทศไทยยังพบด้วยว่า

  • 40% นิยมใช้โทรศัพท์ในการสื่อสาร ตามด้วยการสื่อสารแบบตัวต่อตัว (34%) แอปฯ ส่งข้อความ และการส่งข้อความสั้นถูกจัดไว้หลังสุด
  • 62% คาดว่าจะได้เรียนรู้งานจากเพื่อนร่วมงานหรือบุคคลอื่น แต่ไม่ใช่ทางออนไลน์
  • 91% มองว่าโซเชียลมีเดีย สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่สร้างคุณค่าในการทำงาน
  • 58% ชอบนั่งทำงานในออฟฟิศ เมื่อเทียบกับการทำงานจากบ้าน
  • 70% ชอบที่จะทำงานเป็นทีมมากกว่าทำคนเดียว

“มืออาชีพรุ่นเยาว์ในปัจจุบัน ต่างเติบโตมาในสภาพแวดล้อมการศึกษาที่ต้องทำงานร่วมกัน และคาดหวังความร่วมมือดังกล่าวจากที่ทำงานเช่นกัน” มาริเบล โลเปซ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ ของ Lopez Research กล่าว “แม้ว่าการสื่อสารที่ต้องพูดคุยกันต่อหน้าจะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในที่ทำงานสมัยใหม่ แต่เทคโนโลยีที่ให้ความรู้สึกเสมือนจริง (immersive technologies) ก็ช่วยให้คนทำงานทุกประเภทสามารถประสานความร่วมมือได้ทั้งในโลกการทำงานจริงและโลกเสมือนจริง

นายอโณทัย กล่าวเสริมว่า “ท้ายที่สุด เหล่าองค์กรที่สร้างกำลังคนโดยที่สามารถรองรับและให้การสนับสนุนคนทำงานในทุกเจเนอเรชั่นได้ ก็จะเติบโตได้ในยุคแห่งความร่วมมือระหว่างมนุษย์และเครื่องกล คนทำงานที่ผสานการทำงานร่วมกันได้ดีนับเป็นขุมพลังที่จะช่วยให้องค์กรปฏิรูปและประสบความสำเร็จได้ในอนาคตดิจิทัลได้ในที่สุด”

Avatar photo