ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานคณะกรรมการบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ชี้ “อีคอมเมิร์ซ” ไทยยังต้องเผาเงินเล่นอีกหลายปี แม้จะมีคำสั่งซื้อจากจีนแผ่นดินใหญ่ปีละไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาทรออยู่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ภารกิจหลักของเจดี เซ็นทรัล ในตอนนี้คือสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้บริโภค ว่าสินค้าบนแพลตฟอร์มเป็นของแท้ และมีบริการเบื้องหลังที่เชื่อถือได้ให้มากที่สุด
เรียกว่าเป็นการประกาศวิสัยทัศน์ส่งท้ายปี 2561 ที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับเจดี เซ็นทรัล โดยล่าสุดดึง JD.com มาจับมือกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาของไทยผ่านการเซ็น MOU 3 ฉบับ ฉบับแรกเป็นความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างเจดี เซ็นทรัล, JD.com และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ (DITP) โดยเน้นไปที่การส่งเสริมด้านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพของเอสเอ็มอีไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงตลาดจีนผ่านแพลตฟอร์มของ JD ได้อย่างสะดวกขึ้น
ฉบับที่สองเป็นการร่วมมือระหว่างเจดี เซ็นทรัล, JD.com และดีป้า มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ ระบบซัพพลายเชน รวมถึงความร่วมมือในเรื่องระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในคลังสินค้า โดยหลังจากนี้จะมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ และโครงการนำร่องเมืองอัจฉริยะด้วย
ฉบับสุดท้ายเป็นความร่วมมือระหว่างเจดี เซ็นทรัล, JD.com และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยให้นักศึกษารุ่นใหม่มีความรู้เรื่องอีคอมเมิร์ซมากขึ้น รวมถึงการสร้างศูนย์การเรียนรู้และศูนย์การดำเนินงานเพื่อให้นักศึกษาและบุคลากรได้สัมผัสเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงเอไอด้วย ซึ่งเป้าหมายของโครงการคือการทำให้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สามารถทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้หลังจากจบการศึกษา ผ่านหลักสูตร WiL (Work – Integrated Learning) ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน
เปิดแฟลกชิปสโตร์บน JD.com
ทั้งนี้ นายญนน์ เผยด้วยว่า หลังจากบริษัทได้มีการเปิดแฟลกชิปสโตร์บน JD.com ในชื่อ JD Thailand Official Flagship Store (thailand.jd.hk) ไปแล้วเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา ผลตอบรับจากผู้บริโภคชาวจีนเป็นไปด้วยดี โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้แก่ หมอนยางพาราและทุเรียนอบแห้ง นอกจากนั้นก็ยังมีสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ในบ้าน ร่วมด้วย
แต่นายญนน์ก็ชี้ด้วยว่า การจะก้าวต่อไปข้างหน้านั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจเทคโนโลยี และสามารถใช้เทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ของ JD.com ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเจดี เซ็นทรัลตั้งเป้าว่าภายในปีหน้าบริษัทจะต้องมีผู้ค้าเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ราย และภายใน 5 ปีข้างหน้าจะสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 100,000 ล้านบาท
ในแง่ของการลงทุนนั้น เจดี เซ็นทรัลเผยว่า จะมีการลงทุนเพิ่มในด้าน Last-mile Delivery เพิ่มขึ้น โดยมีงบประมาณราว 2,000 – 3,000 ล้านบาทในระยะ 2 – 3 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นก็คือการสร้าง Warehouse พื้นที่ 20,000 ตารางเมตรให้ครบ 5 แห่งภายในปีนี้ ซึ่งภายใน Warehouse เหล่านั้นก็คือเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ของ JD.com และนายณนน์บอกด้วยว่า หากสเกลของการซื้อขายอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตขึ้นมากกว่านี้ ก็อาจได้เห็นเทคโนโลยีอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยงานมากขึ้นก็เป็นได้
ส่วนสินค้าที่ได้รับความนิยมในการจับจ่ายใช้สอยของคนไทยประกอบด้วยสินค้ากลุ่ม FMCG, โทรศัพท์มือถือ และสินค้าแฟชั่น ส่วนสินค้าที่ตั้งเป้าว่าจะเป็นสินค้าเป้าหมายในอนาคตก็คือสินค้ากลุ่มของใช้ในบ้าน – ของใช้ในชีวิตประจำวัน และหมวดของสดนั่นเอง