Economics

‘สอน.’ จัดมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น-ยาวดูแลชาวไร่อ้อย

จากกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องสถานการณ์อ้อยในฤดูการผลิตปี 2561/2562 ที่มีการประกาศราคาอ้อยเบื้องต้นมาแล้วราคาตันละ 650 บาท ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยขาดทุน เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้มีการประเมินผลการลงทุนแล้วพบว่าจะต้องใช้เงินในการลงทุนปลูกอ้อยตันละ 1,041 บาท ซึ่งเป็นผลพวงมาจากรัฐบาลผลักดันให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปรังหันมาปลูกอ้อย ส่งผลให้มีผลผลิตสูงขึ้น แต่รัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับนโยบายของตนเอง

นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ชี้แจงว่า ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2561/2562 เฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 700 บาทต่อตัน ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส แต่หากคิดคำนวณที่ค่าความหวานเฉลี่ยทั่วประเทศ ที่ 12.30 ซี.ซี.เอส จะอยู่ที่ 796.69 บาทต่อตัน และเมื่อรวมกับค่าส่วนเพิ่มจากคุณภาพอ้อยที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย และจากโครงการเงินช่วยเหลือ 50 บาท เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะได้รับราคาอ้อยประมาณ 880 – 900 บาท/ตันอ้อย ซึ่งจะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ชาวไร่อ้อยอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

วรวรรณ ชิตอรุณ

ทั้งนี้ ราคาอ้อยขั้นต้นดังกล่าวได้ผ่านขั้นตอนการจัดทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นหรือข้อคัดค้านจากผู้แทนเกษตรกรชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานน้ำตาลไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนที่จะประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ราคาดังกล่าวต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่คำนวณไว้ก็จริง แต่คาดว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายปลายปีน่าจะสูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้น เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งคาดการณ์ว่าน้ำตาลจะเริ่มมีการปรับสมดุลมากยิ่งขึ้น

สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับทราบและเข้าใจถึงกรณีที่ราคาอ้อยต่ำกว่าต้นทุนการผลิตของเกษตรกรชาวไร่อ้อยเป็นอย่างดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมาสภาพอากาศของทั้งประเทศไทยและประเทศที่ปลูกอ้อยทั่วโลกมีความเหมาะสม ทำให้มีปริมาณอ้อยมากกว่าปกติโดยประเทศไทยมีปริมาณอ้อยสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 134 ล้านตัน เมื่อผลผลิตมากก็ทำให้ปริมาณน้ำตาลของทั้งโลกล้นตลาด จึงส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกตกต่ำตามไปด้วย ประกอบกับที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายต้องเผชิญกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศ และปัญหาราคาสินค้าในตลาดโลกตกต่ำ นำมาซึ่งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ รวมถึงการปรับแก้กฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องและรองรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป

สำหรับการแก้ปัญหาหรือมาตรการในระยะสั้น กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอรัฐบาลให้พิจารณาหาแนวทางการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยก่อนที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะร้องขอเสียอีก อีกทั้ง ยังมีผู้แทนเกษตรกรชาวไร่อ้อยเข้ามาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายชุดต่าง ๆ เพื่อสะท้อนปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อยทั้งประเทศและร่วมกันกำหนดมาตรการ นโยบายต่าง ๆ โดยเร่งดำเนินการโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อซื้อปัจจัยการผลิต หรือที่เรียกกันว่าโครงการเงินช่วยเหลือ 50 บาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการนี้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ในวงเงินงบประมาณ 6,500 ล้านบาท เพื่อบรรเทาปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ซึ่งโครงการดังกล่าวจัดทำและอนุมัติก่อนที่จะประกาศราคาอ้อยขั้นต้นเสียอีก

ดังนั้นจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลเข้าใจและรีบเร่งที่จะช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยทุกคน โดยกำหนดการจ่ายเงินช่วยเหลือในครั้งนี้ ผ่านบัญชีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ 2562 และครั้งที่ 2 หลังปิดหีบอ้อยคาดว่าประมาณเดือนเมษายน 2562

AFP 2 114356 730x419 m

ทั้งนี้ สาเหตุที่ราคาอ้อยจะสูงจะต่ำนั้นขึ้นกับราคาน้ำตาลในตลาดโลกเป็นสำคัญ เนื่องจากระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยเป็นระบบที่เรียกว่าแบ่งปันผลประโยชน์ คือ เมื่อเอารายได้จากการขายน้ำตาลทั้งในและต่างประเทศมาหักลบกับค่าใช้จ่าย จะนำมาแบ่งกันระหว่างเกษตรกรชาวไร่อ้อยกับโรงงานน้ำตาลในสัดส่วน 70 : 30 โดย 70% จะเป็นส่วนของเกษตรกรชาวไร่อ้อย และ 30% เป็นส่วนของผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายของโรงงาน โดยรายได้ของระบบทั้ง 2 ส่วนมาจากการขายน้ำตาลภายในและการส่งออก ซึ่งในปัจจุบันน้ำตาลที่ผลิตได้ทั้งหมดจะถูกขายต่างประเทศประมาณ 75% ดังนั้น จะเห็นว่าเมื่อราคาน้ำตาลในตลาดโลกตกต่ำ จะทำให้รายได้ของระบบลดลง และย่อมส่งผลกระทบต่อราคาอ้อยอย่างแน่นอน

สำหรับมาตรการในระยะยาว รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายและสั่งการให้หน่วยงานที่มีบทบาทโดยตรง คือ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ให้เน้นหนักในเรื่องการเพิ่มผลิตภาพเปลี่ยนจากเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) โดยการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานเข้ากับงานด้านการเกษตรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับเกษตรกร สนับสนุนให้มีการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาสายพันธ์อ้อยใหม่ ๆ ที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ของประเทศไทย การนำเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของสากล มาช่วยในการวิเคราะห์ค่าต่าง ๆ ที่จะมีผลต่อรายได้ของเกษตรกร

ในส่วนของประสิทธิภาพในการผลิต ได้มีการออกนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “เศรษฐกิจฐานชีวภาพ หรือ Bio Economy” ในการที่จะขยายต่อห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ของสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการแก้ปัญหาสินค้าการเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ำ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ที่ได้เห็นชอบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ.2561 – 2570 โดยมีเป้าประสงค์ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub of ASEAN ภายในปี 2570 ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศอย่างน้อย 190,000 ล้านบาท สามารถทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 85,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งหากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชเศรษฐกิจหลัก โดยนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพใน 3 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) เคมีชีวภาพ (Biochemical) และชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceutical) ก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับสินค้าเกษตรในอนาคต และเป็นการเพิ่มรายได้จากฐานเดิมและต่อยอดไปสู่การสร้างฐานรายได้ใหม่

ซึ่งหากเรามีอุตสาหกรรมอื่น ๆ มารองรับอย่างเอทานอล หรืออุตสาหกรรมชีวภาพจะสามารถดึงเอาปริมาณอ้อยและน้ำอ้อยออกไปจากระบบ จะทำให้ปริมาณน้ำตาลที่ผลิตไม่มากจนเกินไป และย่อมส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกไม่ตกต่ำอย่างที่ผ่านมา จึงเห็นได้ว่านโยบายของรัฐบาลต่างมีความสอดคล้องและรัฐบาลมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและอย่างยั่งยืน

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK