“ไทยแลนด์ 4.0” เป็นบริบทสำคัญในการนำเทคโนโลยีเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน และปฏิรูปในทุกอุตสาหกรรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนพลิกโฉมอุตสาหกรรมในหลายวงการ “อุตสาหกรรมก่อสร้าง” ก็เช่นเดียวกัน ในภาพรวมทั่วโลก เป็นอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสให้เทคโนโลยี-นวัตกรรมเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนได้อีกมาก
“ช.การช่าง” ในฐานะผู้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย เล็งเห็นโอกาสนี้จึงนำเทคโนโลยีการออกแบบและก่อสร้างด้วยระบบ BIM (Building Information Modeling) หรือ ระบบการทำงานแบบจำลองสารสนเทศอาคาร ที่ช่วยออกแบบงานโครงสร้างและประสานการทำงานในส่วนต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ มาใช้ในโครงการ ทำให้การดำเนินงานก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และลดต้นทุนในการดำเนินงาน โดยประเดิมเทคโนโลยีนี้ กับการก่อสร้าง “โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม” เป็นโครงการแรก
ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง และพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เป็นแกนหลักของธุรกิจ ทำให้ในการทำงานแต่ละโครงการ มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย เพื่อให้การบริหารและดำเนินการในส่วนต่างๆ เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด บริษัทจึงทั้งสรรหาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรม ที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาขั้นตอนการทำงานเหล่านี้อยู่เสมอ
โดยก่อนหน้านี้ ช.การช่างประสบความสำเร็จ จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว ที่ใช้คอนกรีตทั้งโครงการกว่า 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยนำฝุ่นหินละเอียดจากการโม่หินเพื่อผลิตทราย ซึ่งตามมาตรฐานทั่วไปนั้นต้องล้างทิ้ง มาศึกษาและทดลองปรับส่วนผสมจนสามารถนำฝุ่นหินและทราย โม่มาใช้ทดแทนทรายแม่น้ำ ซึ่งมีปริมาณไม่เพียงพอได้ ทำให้ลดการใช้ทรายแม่น้ำลงได้ถึง 80%
นอกจากนี้ยังลดการใช้น้ำ ลดมลภาวะจากการล้างฝุ่นหิน รวมถึงประหยัดพลังงานและเวลาในการเตรียมวัสดุจนได้รับรางวัล TCA Practice Award: Silver Medal จากสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย เช่นเดียวกันกับการนำเทคโนโลยี BIM หรือ ระบบการทำงานแบบจำลองสารสนเทศอาคาร ซึ่งช.การช่าง ได้เล็งเห็นประโยชน์ของระบบดังกล่าว กับงานก่อสร้างโครงการ ที่จะพลิกโฉมงานก่อสร้าง ให้มีประสิทธิภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแม่นยำในการออกแบบ และการทำแบบจำลองก่อสร้างเสมือนจริง เพื่อประสานงานในส่วนต่างๆ ตั้งแต่ออกแบบจนถึงการก่อสร้าง
ช.การช่าง จึงได้เริ่มศึกษาข้อมูลและเตรียมงานตั้งแต่ต้นปี 2560 เพื่อนำมาใช้เป็นครั้งแรก กับการออกแบบก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม-ตะวันออก สัญญาที่ 1 (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-รามคำแหง12) และ สัญญาที่ 2 (ช่วงรามคำแหง12–หัวหมาก) จำนวน 3 สถานีจากทั้งหมด 7 สถานี เพื่อให้เจ้าของโครงการ รวมไปถึงผู้โดยสารทุกคนวางใจได้ว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม มีความมั่นคงปลอดภัยและจะแล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ ระบบ Building Information Modelling หรือ BIM เป็นการออกแบบอาคารหรือโครงสร้างด้วยแบบจำลอง 3 มิติ พร้อมกับมีข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ภายใน เช่น ขนาด สเปคและราคาวัสดุ จำนวนการใช้งานจริง การทำงานจะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงในคอมพิวเตอร์ โดยผู้ที่ออกแบบทุกฝ่าย ทั้งงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม งานระบบ สามารถทำงานบนโมเดลเดียวกันได้ ทำให้ประสานงานระหว่างทีมออกแบบ และบริหารต้นทุนโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวัชระ แสงหัตถวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิศวกรรม บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ผลักดันการใช้เทคโนโลยี BIM ในช.การช่าง กล่าวว่า ช่วง 4-5 ปีทีผ่านมา เทคโนโลยี BIM ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อใช้ออกแบบและจำลองอาคารสูง
ส่วนอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานในเมืองไทย เพิ่งเริ่มมีการตื่นตัวใช้ BIM อย่างกว้างขวางในช่วง 1-2 ปีนี้ โดยสภาวิศวกร สภาสถาปนิก และวิศวกรรมสถานแห่งชาติ ได้เข้ามาให้การสนับสนุนด้วยการออก BIM Guide ฉบับแรก เพื่อเป็นคู่มือการใช้งานซอฟต์แวร์ดังกล่าว เมื่อปลายปี 2560 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่วงการก่อสร้างไทย จะได้นำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแพร่หลายในอนาคต
การออกแบบโมเดล 3 มิติ มีความเที่ยงตรง และเห็นภาพโครงสร้างจริง รวมถึงปัญหาที่อาจจะเกิดในการก่อสร้างได้ชัดเจน มากกว่าทำงานด้วยแบบ 2 มิติแบบเดิมๆ ซึ่งต้องทำเป็นรูปด้าน รูปตัดประกอบกันหลายแผ่นจึงจะเห็นภาพ ในแบบ 2 มิติก็จะเป็นเพียงการเขียนชิ้นงานที่เป็นเส้น ไม่สัมพันธ์กัน ส่วนข้อมูลที่แสดงก็จะเป็นเพียงสี ความหนาเส้น เส้นประ หากต้องการแก้จุดใดจุดหนึ่ง จะต้องแก้แบบแผ่นอื่นๆ ที่ต่อเนื่องกันตามไปด้วย ทำให้การประสานงานจะมองเห็นเพียงส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานที่กำลังเขียนอยู่เท่านั้น
ต่างจากการเขียนแบบด้วยโมเดล 3 มิติ ที่สามารถแก้จุดเดียวแล้วแบบแผ่นอื่นๆ จะปรับแก้ตามอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถตรวจจับโครงสร้างที่ชนกัน (Clash Check) ระหว่างทีมเขียนแบบได้อีกด้วย ซึ่งทำให้ลดเวลาในการตรวจแบบลงมาก การประสานงานด้วยโมเดล 3 มิตินี้ มีความแม่นยำสูง ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบก่อนลงมือก่อสร้างจริง ทำให้ทุกฝ่ายออกแบบได้สอดคล้องกัน และลดการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งหน้างาน
ทั้งนี้ ภาพ 3 มิติ ยังทำให้ผู้ที่ไม่ชำนาญด้านการอ่านแบบ เช่น ผู้ปฏิบัติงานหน้างาน เจ้าของงาน สามารถมองเห็นภาพโครงการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นายวัชระ กล่าวว่า นอกจากการนำเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานแล้วนั้น ช.การช่างก็มุ่งที่จะพัฒนาบุคลากร ให้มีทักษะด้านเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน โดยได้คัดเลือกวิศวกร สถาปนิก และช่างเขียนแบบที่มีความสามารถไปฝึกอบรมการใช้โปรแกรมกับสถาบันตัวแทน Autodesk เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการอื่นๆ ในอนาคต
ทั้งยังได้ปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมโครงข่ายการทำงานในฝ่ายวิศวกรรม เพื่อให้รองรับการทำงานด้วย BIM บนโครงการคอมพิวเตอร์ของบริษัท โดยในอนาคต ช.การช่าง ยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาเทคโนโลยี BIM ให้สามารถวิเคราะห์การใช้พลังงาน และการบำรุงรักษาโครงสร้างส่วนต่างๆ (Facility Management) ของโครงการด้วย
“การพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กรนั้น ส่วนท้าทายที่สุดไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี เพราะผมเชื่อว่าเทคโนโลยีถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานที่สะดวกและง่ายดาย แต่กลับอยู่ที่ คน ซึ่งทัศนคติการเปิดใจและยอมรับที่จะเรียนรู้แนวทางการทำงานใหม่ๆ จากเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องสำคัญ” นายวัชระกล่าว