พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี มองภาพอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย ต้องสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้อุตสาหกรรมนี้เติบโต และสามารถรองรับยุทธศาสตร์ชาติในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้ ด้านวิกรม กรมดิษฐ์ ยกกรณีศึกษา Software Park ในไต้หวัน พร้อมประกาศนำประเทศไทยสู่ Industry 4.0 ที่เหนือกว่าสิงคโปร์
สำหรับความสำคัญของการยกระดับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยนั้น พลอากาศเอกประจิน จั่นตองกล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) อย่างเต็มรูปแบบ การเชื่อมโยงดิจิทัลถือเป็นพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาประเทศ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะต้องตื่นตัว กับการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานที่มีทั้งความรู้และทักษะ เพื่อการเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ประกอบกับโลกในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาด้านต่าง ๆ มากขึ้น”
ทั้งนี้การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการพัฒนาบุคลากรเพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะเป็นแนวทางในการช่วยยกระดับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล รวมทั้งการพัฒนาทางด้านหลักสูตรการเรียนการสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ๆ ที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิต โดยภาครัฐจะสนับสนุนเชิงนโยบายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนั้นภายในงานยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมด้านซอฟต์แวร์จากบริษัทสัญชาติไทยจำนวนมาก ซึ่งได้รับความสนใจจากรองนายกรัฐมนตรีและผู้เข้าชมงานด้วย
ด้านนายทินกร เหล่าเราวิโรจน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
โดยสิ่งที่สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์นั้น ทางสมาคมมีการนำโครงการเงินกู้ พร้อมดอกเบี้ยพิเศษ เป้ารวม 100 ล้านบาท จาก ธพว. หรือเอสเอ็มอี ดีแบงค์ มาช่วยกระตุ้นความคล่องตัว หรือในส่วนของเอสเอ็มอี หากซื้อซอฟต์แวร์จะได้รับส่วนลดมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท (เป็นการสนับสนุนของดีป้าในโครงการ depa Mini-Transformation Voucher จำนวน 400 ทุน มูลค่ารวม 4 ล้านบาท) เป็นต้น
ด้านนายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยว่า ตัวอย่างการลงทุนด้านดิจิทัลที่เห็นผลด้วยดีคือการสร้างซอฟต์แวร์ปาร์คของไต้หวัน ที่เมืองหูโข่ว โดยใช้พื้นที่เล็ก ๆ เพียง 120 ไร่ และมีพนักงานทำงานในพื้นที่ดังกล่าวราว 30,000 คน แต่กลับสามารถสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมได้สูงถึง 25,000 ล้านดอลลาร์
ส่วนแผนของอมตะ 4.0 นั้น นายวิกรมเผยถึงภาพบางส่วนที่เกิดขึ้นแล้วในนิคมอุตสาหกรรมอมตะว่า โรงงานสามารถกลายร่างเป็นโรงงานอัจฉริยะได้ ด้วยความสามารถของ IoT และสิ่งที่เจ้าของโรงงานต้องทำมีเพียงสามอย่าง นั่นคือ รับออเดอร์, ป้อนวัตถุดิบให้กับโรงงานให้เต็มอัตรา และจ่ายค่าไฟ จากนั้นเมื่อมีออเดอร์เข้ามา ระบบจะโหลดคำสั่งซื้อเข้าไปในศูนย์กลาง เพื่อให้เครื่องจักรเดินเครื่องผลิตสินค้าด้วยตัวเอง และทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้สามารถผลิตได้ตามเวลา ตามสเปคที่ลูกค้าต้องการ
อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในยุคต่อไป อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือของนักพัฒนาแต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากสิ่งที่ภาคธุรกิจกังวลกันในเวลานี้คือ การแข่งกีฬาสีทางการเมือง ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในปีหน้าได้ผลการเลือกตั้งในปีหน้าไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ โดยเวทีดังกล่าวจึงมีการฝากถึงคนไทยให้มีสติ และอย่าตกลงไปในวังวนของการเมืองด้วยนั่นเอง