มีการพูดคุยกันอย่างมากในเรื่องที่ระบบอัตโนมัติที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องจริง จะเห็นได้ว่างานจำนวนมากที่มีอยู่ในทุกวันนี้จะถูกแทนที่ในวันพรุ่งนี้
ตัวอย่าง หากเรามองไปที่คนขับรถยกในโกดังสินค้า ก็จะเห็นว่าในทุกวันนี้ เจ้าของกิจการจำนวนมาก ต่างนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้งานในโกดังสินค้า พวกมันทำงานแทนคนขับรถที่เป็นมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในภาคการผลิตก็เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นสายการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ซึ่งการที่ต้นทุนลดลงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้นทำให้การนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้งานแบบนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ปัญญาประดิษฐ์และการเปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์เป็นเรื่องที่ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก และจะยังเกิดขึ้นอย่างนี้ต่อไป อีกทั้งยังจะก่อให้เกิดผลกระทบขนาดใหญ่ตามมามากมาย แต่ในขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะยังไม่เป็นไปอย่างรวดเร็วและร้ายแรงเหมือนกับที่บางคนคิดกันอยู่ในทุกวันนี้
ประชากรกำลังสูงวัยมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่จริงอย่างมาก และข้อเท็จจริงอีกอย่างในภาคเศรษฐกิจของเรา ก็คือผู้คนยังต้องทำงานอยู่และต้องทำนานขึ้นกว่าเมื่อก่อน
อย่างไรก็ตามมีความคาดหวังกันว่าด้วยผลผลิตและความมั่งคั่งที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้เราสามารถสนับสนุนเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยที่ทำงานน้อยลงกว่าปัจจุบัน แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างอายุเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นกับอายุเกษียณวัยที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้มีโอกาสสูงอย่างมากที่เราจะต้องทำงานนานขึ้นกว่าในทุกวันนี้
ธรรมชาติของนวัตกรรมที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วจากประวัติศาสตร์ หมายความว่าในขณะที่งานเก่าๆ กลายมาเป็นสิ่งล้าสมัย งานใหม่ก็จะถูกคิดค้นขึ้นมา หรืออย่างที่ การ์ทเนอร์ คาดการณ์ไว้ว่า “ในปี 2020 เอไอจะกลายมาเป็นตัวสร้างงานอย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้เกิดงาน 2.3 ล้านตำแหน่ง ในขณะที่ทำให้ตำแหน่งงานหายไปเพียง 1.8 ล้านตำแหน่ง” แต่งานใหม่เหล่านี้จะมีความแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือจะต้องการคนที่มีความแตกต่างและมีคุณสมบัติมากขึ้นกว่าเดิม
ปัจจุบันเรามีนักวิทยาศาสตร์ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นจำนวนมากกว่าที่ผ่านมาทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งส่งผลให้เกิดการปฏิวัติเทคโนโลยีและกระแสการปฏิวัติเทคโนโลยีก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญ โดยที่ไม่มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงแต่อย่างใด ซึ่งหมายความว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงแรงงานของเราให้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย
ในทุกวันนี้ องค์กรจำนวนมากกำลังประสบปัญหาในการสรรหาบุคคลที่มีทักษะความสามารถที่เหมาะสม จากงานวิจัยของ “ไอเอฟเอส” เองก็บ่งชี้ให้เห็นว่า 34% ของบริษัทต่างๆ ยังไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับช่องว่างของแรงงานที่มีทักษะเมื่อต้องก้าวเข้าสู่เส้นทางสายดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่น
ดังนั้นแทนที่จะกลัวในเรื่องการไม่มีงานให้เราทำ ลองเปลี่ยนความคิดใหม่กันดู เพราะประเด็นใหญ่สุดไม่ใช่เรื่องที่ว่าหุ่นยนต์กำลังเข้ามาแย่งงานเรา แต่เป็นมนุษย์ต่างหากที่ยังไม่มีทักษะมากพอที่จะทำได้
แรงงานแห่งอนาคต
เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เราไม่สามารถคาดหวังให้ผู้คนทำงานแบบเดิมๆ อย่างที่พวกเขาทำมาตลอดทั้งชีวิตการทำงานได้ ขณะเดียวกันเราก็สูญเสียพวกเขาไปไม่ได้ ซึ่งอาจหมายความว่าผู้คนจะต้องเปลี่ยนงานหลายครั้งในช่วงชีวิตวัยทำงานของพวกเรา เราจำเป็นต้องพิจารณาถึงความต้องการของพวกเขา และแทนที่จะมุ่งความสนใจเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เราจำเป็นต้องให้ความสนใจกับวิธีที่เราจะนำพาแรงงานของเราผ่านการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร
ปัญหานี้มีองค์ประกอบในการแก้ไขอยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้น คือ “คนและเทคโนโลยี”
ผู้คน
หากเห็นว่าผู้คนจำเป็นต้องทำงานที่แตกต่างกันออกไปมาก เราจำเป็นที่จะต้องมีศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทางที่ทุ่มเทฝึกฝนทักษะความชำนาญให้กับพวกเขาในช่วงต้นของวัยทำงานหรือไม่ ทำไมเราไม่ส่งผู้คนไปเรียนงานที่พวกเขาอาจจะทำสัก 4 ปี ตั้งแต่อายุแค่ 12 ปี เพราะบางทีเราก็ควรสอนให้คนของเรารู้วิธีที่จะเรียนรู้แทนการรู้วิธีทำงาน ทำให้พวกเขามีทักษะพื้นฐานเพื่อเปิดทางให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดการทำงานของเขา
เรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นในการศึกษาขั้นสูงกว่า อย่างมหาวิทยาลัย แต่คนงานกลุ่มใช้แรงงานจำนวนมากที่อยู่ข้างนอก พวกเขาเหมาะสมกับอะไร บางที แทนที่จะทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ อาจจะให้ทำงานแค่ 4 วันต่อสัปดาห์ และให้เวลา 1 วัน สำหรับการทำตัวให้ทันสมัย
ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม เราต้องทำให้แน่ใจว่าผู้คนจะทันสมัยอย่างต่อเนื่องในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ที่มีแต่จะพัฒนาเร็วขึ้นไปอีกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เทคโนโลยี
ลืมเรื่องที่เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ไปก่อน แต่หันมาให้ความสนใจในเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีสามารถส่งเสริมมนุษย์ได้อย่างไร เราจะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยคนงานปิดช่องว่างทางด้านทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับการทำงานได้อย่างใร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเออาร์ (Augmented Reality) สำหรับการสนับสนุนทางไกล หรือโดรนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนงาน ควรพิจารณาเทคโนโลยีทั้งหมดนี้ ในบริบทของวิธีการที่พวกเขาสามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มพูนทักษะของมนุษย์และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
บทความโดย บาส เด วอส ผู้อำนวยการไอเอฟเอส แล็บส์
ไอเอฟเอส แล็บส์ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้กับกระบวนการทางธุรกิจและแอพพลิเคชั่นธุรกิจที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนผู้ใช้งาน การทดลองประสบการณ์ของลูกค้าในโลกธุรกิจ