Finance

บจ.จัดหนัก!! ฉวยช่วงหุ้นดิ่งลุยซื้อหุ้นคืน

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 บรรยากาศการลงทุนมีทิศทางไม่ดีนักเพราะดัชนีอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยรวมดัชนีปรับตัวลดลง 2.82% จากระดับ 1,681 จุด มาอยู่ที่ 1,622 จุด และระหว่างวันดัชนีได้ปรับลดลงต่ำกว่า 1,600 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงเหลือเพียง 4.1 หมื่นล้านบาทต่อวันจากเดือนตุลาคม 2561 อยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท

เมื่อราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงแรง จึงเป็นจังหวะที่ดีของบริษัทจดทะเบียนที่ได้ประกาศนโยบายรับซื้อหุ้นคืนในช่วงก่อนหน้านี้ เพราะจะเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำ ดังนั้น จึงจะเห็นว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน บจ.รายงานการซื้อหุ้นคืนอย่างคึกคัก

จากการสำรวจข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนพบว่า มีบริษัทจดทะเบียนที่มีโครงการรับซื้อหุ้นคืน ได้เข้ามาทำรายการซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวน 7 บริษัท คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 425 ล้านบาท ประกอบด้วย

บจ.ซื้อหุ้นคืนเดือนพ.ย.2561

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ทำรายการ 10.28 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 122.83 ล้านบาท บริษัท แกรททิทูด อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ GIFT ทำรายการ 0.15 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 0.64 ล้านบาท บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC จำนวน 0.33 ล้านหุ้นมูลค่ารวม 3.78 ล้านบาท

บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL จำนวน 20 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 33.15 ล้านบาท บริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TAPAC 0.16 ล้านหุ้น มูลค่า 1.98 ล้านบาท  บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือTCAP จำนวน 0.30 ล้านหุ้นมูลค่า 15.7 ล้านบาท และ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือTPIPL จำนวน 136 ล้านหุ้นมูลค่ารวม 248 ล้านบาท

จากข้อมูลดังกล่าวจะพบว่า บริษัทจดทะเบียนที่มีการทำรายการในโครงการซื้อหุ้นคืน มีจำนวนหุ้นและมูลค่าการทำรายการสูงสุดคือ บริษัททีพีไอโพลีน และหากพิจารณาการเคลื่อนไหวราคาหุ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 พบว่า ราคาหุ้น TPIPL ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.22% ซึ่งสวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง โดยราคาสูงสุดอยู่ที่ 1.86 บาท ต่ำสุด 1.75 บาท ราคาเฉลี่ย 1.82 บาท รองลงมาเป็นบริษัท การบินกรุงเทพ โดยในเดือนพฤศจิกายนราคาหุ้น BA ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.85% โดยในเดือนพฤศจิกายนราคาหุ้น BA ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.85% และราคาได้ปรับตัวสูงสุด 12.20 บาท ต่ำสุดที่ 11.50 บาท และราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 11.92 บาท

set8

บริษัท มิลล์คอน สตีล ในเดือนพ.ย.2561 ราคาหุ้นปรับลดลง 7.82% โดยราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงสุดที่ 1.82 บาท ต่ำสุดที่ 1.62 บาท และราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.76 บาท  บริษัท ทุนธนชาต ราคาหุ้นปรับลดลง 1.90% และราคาเคยปรับตัวสูงสุดที่ 53.50 บาท และต่ำสุด 50.75 บาท ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 52.37 บาท  บริษัท แม็คกรุ๊ป ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 4.13% และราคาเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 12.40 บาท ต่ำสุดที่ 11.30 บาท และราคาเฉลี่ย 11.78 บาท  บริษัท ทาพาโก้ ราคาหุ้นปรับลดลง 12.59% ราคาเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุด 7.05 บาท ต่ำสุดที่ 5.65 บาท ราคาเฉลี่ย 6.27 บาท  และบริษัท แกรททิทูด อินฟินิท ราคาหุ้นปรับลดลง 8.76% ราคาเคยปรับตัวสูงสุดที่ 4.34 บาท ต่ำสุดที่ 3.78 บาทราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4.14 บาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ความห็นว่า การที่บริษัทจดทะเบียนได้เข้าซื้อหุ้นผ่านนโยบายการซื้อหุ้นคืนนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้และเป็นจังหวะที่ดีเพราะว่า สามารถช่วยประคองราคาหุ้นไม่ให้ปรับลดลงแรง แต่ทำได้เฉพาะบางบริษัทเท่านั้น เนื่องจากจำนวนหุ้นที่รับซื้อส่วนใหญ่ไม่เกิน 10% ดังนั้นอาจช่วยประคับประคองราคาหุ้นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

“การซื้อหุ้นคืนในช่วงที่ราคาหุ้นลงแรงก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับบริษัทเพราะจะมีต้นทุนในการรับซื้อหุ้นที่ต่ำ ขณะเดียวกันก็สามารถพยุงราคาหุ้นไว้ไม่ให้ลงลึกเกินไป”

set30

อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าในเดือนพฤศจิกายนมีบริษัทจดทะเบียนได้ประกาศทำโครงการรับซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง หลังจากราคาหุ้นในกระดานหลักปรับตัวลดลงแรง เช่น บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ประกาศผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยจะใช้วงเงินสูงสุดในการซื้อหุ้นคืนอยู่ที่ไม่เกิน 400 ล้านบาท และมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนทั้งหมด 42 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.85% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 – 3 มิถุนายน 2562 ซึ่งบริษัทให้เหตุผลว่าราคาหุ้นในตลาดปัจจุบันต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมาก โดยมีกำหนดจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนภายใน 3 ปี นับแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาซื้อหุ้นคืน

ตามมาด้วย บริษัท บางกอกแร้นช์ จำกัด (มหาชน) หรือBR ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน โดยมีจำนวนหุ้นที่ซื้อคืน 43 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.71% วงเงินที่รับซื้อหุ้นคืน 200 ล้านบาท และเริ่มต้นโครงการตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2561 – 6 มิถุนายน 2562 ขณะที่เหตุผลของการมีโครงการซื้อหุ้นคืนเนื่องจากราคาหุ้นในตลาดอยู่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท และเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ซึ่งผลกระทบภายหลังจากการซื้อหุ้นคืน จะทำให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้รับเงินปันผลสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ซื้อคืนบริษัทจะซื้อคืนไม่มีสิทธิรับเงินปันผล และจะทำให้อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น ขณะที่การซื้อหุ้นคืนจะส่งผลให้เงินของบริษัทและส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อมั่นว่าการดดำเนินดังกล่าวสอดคล้องกับสถานะทางการเงินของบริษัท ซึ่งผลที่ได้รับจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น

ล่าสุด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI รายงานตลาดหลักทรัพย์ว่าจะเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 1,486.27 ล้านหุ้น คิดเป็น 10%  วงเงินซื้อคืน 3,000 ล้านบาท โดยซื้อคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม 2561 – 10 มิถุนายน 2562

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight