Finance

แบงก์ชาติเข้ม!! ข้อมูลลูกค้ารั่วปรับสูงสุด 2 ล้านบาท

สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา2
ภาพจาก bot.or.th

นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบชำระเงินและเทคโนโลยีการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า พระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เเล้วตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งรายละเอียดมีการคุ้มครองผู้บริโภคโดยเฉพาะเรื่องของการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยมีการกำหนดมาตรฐานอย่างเข้มงวด ว่าบุคคลใดที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าได้ และกำหนดขอบเขตของการนำข้อมูลไปใช้ หากผู้ประกอบการรายใดทำข้อมูลลูกค้ารั่วจะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับจะพิจารณาตามความเสียหายที่เกิดขึ้น

ส่วนบริษัท ทรูมูฟ เอช ทำข้อมูลบัตรประชาชนลูกค้ารั่วไหล กรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ธปท. แต่ ธปท.ได้มีการติดตามถึงระบบการป้องกันการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัททรูมันนี่ (TrueMoney) หลังจากที่เกิดปัญหาบริษัท ทรูมูฟ เอช จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่มีข้อกังวลใจแต่อย่างใด และได้กำชับให้ผู้ประกอบการทุกราย รวมทั้งสถาบันการเงินตรวจสอบระบบการป้องกันข้อมูลลูกค้าทุกปี

ทั้งนี้ พ.ร.บ.ระบบการชำระเงินฉบับใหม่นี้จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งผู้ให้บริการและประชาชน ทำให้การเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของประเทศไทยรวดเร็วขึ้น สะท้อนจากวงเงินโอนผ่านระบบพร้อมเพย์ ปัจจุบันที่ไม่ถึง 3,000 บาทต่อรายการ ขณะที่ยอดการใช้พร้อมเพย์สะสมอยู่ที่ 173 ล้านรายการ มูลค่าการโอน 700,000 ล้านบาท จากผู้ลงทะเบียน 40 ล้านเลขหมาย ณ วันที่ 6 เมษายน 2561

ส่วนผู้ประกอบการรายเดิมที่ให้บริการทั้งในส่วนของภาคธนาคารและผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ non-bank ที่มีการออกบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรอิเล็กทรอนิกส์ทางการเงินทุกรูปแบบ หรือ E-Money ต้องมาขออนุญาตหรือขึ้นทะเบียนใหม่กับ ธปท. ภายใน 120 วัน หรือจนถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2561 ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถให้บริการได้ ส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะทำธุรกิจ E – Money ต้องมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท จากเดิมกำหนดอยู่ที่ 200 ล้าน บาท เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถให้บริการมากขึ้นและมีการเเข่งขันมากขึ้นด้วย

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK