World News

เวียดนามเล็งทดสอบระบบ 5จี ปีหน้า

เวียดนามเตรียมเริ่มต้นการทดสอบเครือข่ายมือถือรุ่นที่ 5 หรือ 5จี ในปีหน้า หวังที่ผงาดขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของยุคปฏิบัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นยุคแห่งการรวมตัวกันของการสื่อสารความเร็วสูง (ไฮสปีด) กับระบบอัตโนมัติ ในการผลิต

2017.04.28

ตามแผนที่วางไว้นั้น การทดลองจะเริ่มต้นขึ้นที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศ และนครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางทางพาณิชย์ของประเทศ โดยที่รัฐบาลตั้งเป้าจะยกระดับเครือข่าย 5จีนี้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2563

นายเหวียน หม่านห์ ฮุง รัฐมนตรีสารสนเทศและการสื่อสารคนใหม่ของเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามควรที่จะเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่เปิดให้บริการระบบ 5 จี เพื่อที่อันดับด้านโทรคมโลกกจะได้ขยับสูงขึ้น

นายฮุง บอกด้วยว่า เทคโนโลยีไฮสปีดไร้สายล่าสุดนี้ ออกแบบมาเพื่อให้การสื่อสารมีความล่าช้า หรือความล่าช้าแอบแฝงอยู่ไม่เกิน 1 มิลลิวินาที เพื่อให้ได้การตอบกลับตามเวลาจริง ซึ่งรัฐบาลเวียดนามต้องการทำเทคโนโลยีนี้มาใช้อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้โดนประเทศอื่นๆ ทิ้งห่างไป

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า บริษัทโทรคมนาคม 4 รายของเวียดนาม ทั้งเวียดนามโมบายล์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างฮานอย เทเลคอม กับฮัทชิสัน เอเชีย เทเลคอมมูนิเคชัน ของฮ่องกง และรัฐวิสาหกิจ 3 ราย คือ เวียดเทล เวียดนาม โพสต์ส แอนด์ เทเลคอมมูนิเคชันส์ กรุ๊ป (วีเอ็นพีที) และโมบิโฟน จะเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้ทดสอบระบบ 5จีในเดือนมกราคมนี้

000 hkg9758498

ทางด้านนายฟุง วัน ควง รองผู้อำนวยการใหญ่ของเวียดเทล บอกว่า บริษัทต้องการทดสอบระบบ 5จีในปีนี้ และเปิดตัวในเชิงพาณิชย์ปี 2563

นายฮุง รัฐมนตรีสารสนเทศและการสื่อสาร ยังอ้างถึง ข้อมูลจากสหภาพโทรคมนาคมนานาชาติ (ไอทียู) ที่แสดงให้เห็นว่า ในปี 2533 เวียดนามมีผู้ใช้บริการบรอดแบนด์บนมือถือมากสุดติด 20 อันดับแรกของโลก หลังจากที่เปิดตัวระบบ 2จีมาได้ 3 ปี แต่หล่นลงมาอยู่ในที่ 115 จากทั้งหมด 193 ประเทศ ภายในปี 2560 เนื่องจากล้าหลังประเทศอื่นๆ ในการนำระบบ 3จี และ 4จี เข้ามาใช้ ซึ่งกว่าที่เวียดนามจะเดินหน้าใช้ทั้ง 2 ระบบดังกล่าวได้ ก็ช้ากว่ามาตรฐานไปถึง 10 ปี

ทั้งนี้ มีการประเมินว่า ตลาดโทรคมนาคมเวียดนามมีมูลค่ามากกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2559 โดยที่ผู้ให้บริการรัฐวิสาหกิจ 3 ราย ครองส่วนแบ่งในตลาดร่วมกันมากถึง 95% โดยที่เวียดเทลมีสัดส่วนสูงสุดในปีนั้นที่ 46.7% ตามด้วยโมบิโฟน 26.1% และ วีเอ็นทีพี 22.2%

ที่มา: Nikkei Asian Review

Avatar photo