COVID-19

‘สิงคโปร์’ แซงหน้า ‘นิวซีแลนด์’ ประเทศรับมือ ‘โควิด’ ดีสุดในโลก

ในสัปดาห์นี้ The Bloomberg Covid Resilience Ranking การจัดอันดับประเทศที่รับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้จัดให้ “สิงคโปร์” แซงหน้า “นิวซีแลนด์” ขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ประเทศที่แข็งแกร่ง และฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19  ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อไปจนถึงอิสรภาพในการเดินทางไปไหนมาไหน 

บลูมเบิร์ก บอกว่า เหตุผลสำคัญที่สิงคโปร์แซงหน้านิวซีแลนด์ คือ โครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพกว่า

มาดูกันว่าการอาศัยอยู่ในประเทศ ที่ฝ่าวิกฤติได้ดีที่สุดเป็นอย่างไร

shutterstock 1710949345

เกือบปกติ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน

แม้การใช้ชีวิตในสิงคโปร์กลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว แต่ก็ไม่ใช่จะดีสมบูรณ์แบบ  โดยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แทบจะไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเลย นอกจากการระบาดเป็นกลุ่มย่อย ๆ เล็กน้อย ซึ่งก็ถูกจัดการควบคุมโดยทันที ซึ่งในสัปดาห์นี้ เมื่อพบผู้ติดเชื้อใหม่หลายราย ทางการก็ใช้มาตรการควบคุมเข้มงวดทันที

แต่ตั้งแต่การล็อกดาวน์ 2 เดือน เมื่อต้นปีที่แล้ว สิงคโปร์ก็ไม่เคยต้องใช้มาตรการนั้นอีกเลย ผู้คนสามารถนัดครอบครัว หรือเพื่อน ๆ ไปกินข้าวที่ร้านอาหารได้ แค่ห้ามเกิน 8 คน  และงต้องใส่หน้ากากอนามัยอยู่ทุกที่ แม้จะเป็นกลางแจ้ง แต่ก็สามารถถอดออกได้ หากกำลังทานอาหาร หรือออกกำลังกาย

หลายคนกลับไปทำงานในออฟฟิศ ซึ่งจัดให้มีการเว้นระยะห่าง สามารถไปดูหนัง ไปคอนเสิร์ต หรือไปซื้อของได้ ตราบใดที่ใส่หน้ากากอนามัย และเช็กอินด้วยแอปพลิเคชัน

ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และโรงเรียน ก็กลับมาเปิดแล้ว แต่หลายที่ มักจำกัดจำนวนคน ทำให้ต้องวางแผนล่วงหน้าดี ๆ หน่อย

shutterstock 1768782578

ปัจจุบัน ชาวสิงคโปร์ 15% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ได้รับวัคซีนครบทุกโดสแล้ว ไม่ใช่แค่ว่า สิงคโปร์มีประชากรน้อย เพียงแค่ 6 ล้านคน แต่โครงการฉีดวัคซีน ก็มีประสิทธิภาพมากด้วย ผู้คนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลสูง และจำนวนคนที่ไม่เชื่อว่า วัคซีนจะได้ผลก็น้อยลงไปมาก

อีกปัจจัยที่ช่วยคือ การบังคับใส่หน้ากากอนามัย ระบบติดตามผู้เสี่ยงติดเชื้อที่แข็งขัน มาตรการห้ามเดินทาง และห้ามคนรวมตัวกัน ที่บังคับใช้มาอย่างยาวนาน

นอกจากนี้ การที่ประเทศมีลักษณะเป็นเกาะ ก็ทำให้ควบคุมพรมแดนได้ง่าย ทั้งยังมีเงินทุนสำรองจำนวนมาก และมีระบบต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพมาก

อย่างไรก็ดี หลายคนอาจไม่เห็นด้วย ที่จะบอกว่านี่เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด ระหว่างต้องเผชิญกับโควิด-19

คนสิงคโปร์เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างเป็นอิสระ แต่ไม่ใช่สำหรับแรงงานอพยพนับแสน ที่ยังติดอยู่ในที่ทำงาน และหอพัก หลังจากที่มีการระบาดครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไม่ถูกสุขลักษณะ

แรงงานอพยพเหล่านี้ ต้องขออนุญาตจากนายจ้าง หากอยากจะออกจากหอพัก และต้องไปสังสรรค์กันในสถานที่ ที่รัฐบาลอนุมัติเท่านั้น

รัฐบาล ระบุว่า ข้อบังคับดังกล่าว เป็นมาตรการจำเป็น เพื่อปกป้องประชากรที่เหลือในประเทศ เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดอีกระลอกในชุมชุนของแรงงานเหล่านี้ แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า สิงคโปร์มีปัญหาเรื่องความเท่าเทียม และยังแบ่งแยกกลุ่มคนมากแค่ไหน

shutterstock 1944087640

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิผู้อพยพ บอกว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ “น่าละอาย” และเป็นการ “เลือกปฏิบัติ” อย่างมาก

“ด้วยความที่แรงงานอพยพไม่มีอำนาจทางการเมือง จึงกลายเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับกันได้ ที่พวกเขาต้องมาเป็นผู้รับผลกระทบ จากความล้มเหลวของนโยบายเรา”

“นิวซีแลนด์อาจเกือบได้อันดับหนึ่ง ในฐานะประเทศที่แข็งแกร่ งและฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 แต่พวกเขาไม่ได้เหยียบย่ำสิทธิของผู้คน มันไม่ใช่แค่เรื่องผลลัพธ์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของวิธีการที่เราไปถึงจุด ๆ นั้นด้วย”

นอกจากนี้ การระบาดใหญ่ในครั้งนี้ ยังจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวที่มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลได้พยายามอัดฉีดเงินมหาศาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจน และอัตราการว่างงานก็ยังอยู่ในระดับต่ำ

แต่ตัวเลขสถิติเหล่านี้ ก็ไม่ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมด เพราะแรงงานบางคนก็โดนตัดเงินเดือน และบางคนที่ตกงาน ก็ต้องไปหาเงินเสริมเ ป็นคนขับรถ หรือพนักงานส่งอาหาร

shutterstock 1737925349

โดนรัฐสอดส่อง

แม้จะไปไหนมาไหนได้อย่างเป็นอิสระ แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน

จากที่มีความเป็นส่วนตัวน้อยอยู่แล้ว รัฐสามารถสอดส่องได้มากขึ้นไปอีก หลังจากมีการระบาดใหญ่ โดยทุกวันนี้ สิงคโปร์มีแอปพลิเคชัน ที่คอยติดตามประชาชนตลอดว่า ไปไหนมาไหน ไปพบปะกับใครมาบ้าง แม้ว่ารัฐบาลจะยืนยันว่าไม่มีการระบุตัวตนของผู้ใช้แอปก็ตาม

หลายคนเห็นด้วยว่า นี่เป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลต้องทำในภาวะวิกฤติ แต่บางฝ่ายก็กังวลว่า จะมีการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไปใช้ในทางที่ผิดได้ และเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลก็เพิ่งออกมายอมรับว่าอนุญาตให้ตำรวจใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่การติดตามผู้เสี่ยงติดเชื้อ

ที่มา : BBC ไทย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo