Politics

‘แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ’ ยืนยัน ‘วัคซีน’ คืออาวุธสำคัญในการต่อสู้โควิด!

“แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” ยืนยัน “วัคซีน” เป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้ “โควิด” และควบคุมการระบาดของโรค ลั่นการรับวัคซีนโควิด จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันตัวเอง ป้องกันครอบครัว

กระทรวงสาธารณสุข แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโรคติดเชื้อ ยืนยัน วัคซีนเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับโควิด-19 และควบคุมการระบาดของโรค ผลข้างเคียงของการเกิดลิ่มเลือดพบประมาณ 4 รายในการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าล้านโดส ขณะที่เป็นโรคโควิดโอกาสเกิดลิ่มเลือดประมาณ 125,000 คนต่อล้านคนที่ป่วยเป็นโควิด การฉีดวัคซีนโควิดป้องกันได้ทั้งตัวเอง คนในครอบครัวและต่อชุมชนสังคมได้

IMG 41343 20210429190621000000
นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ

นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิใน คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ แถลงว่า ในฐานะกุมารแพทย์ 40 กว่าปี ซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับวัคซีนมาตลอดชีวิต ยืนยันว่า วัคซีนเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค โดยที่ผ่านมาวัคซีนที่จะนำมาใช้มีการวิจัย 5 – 10 ปี สำหรับวัคซีนโควิดวิจัยเพียง 10 เดือน การนำมาใช้เป็นการอนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ต้องเฝ้าระวัง 1 วัน 7 วัน 30 วันหลังฉีด

“แม้ว่ายอดผู้ป่วยโควิดจะลดลง ก็ยังต้องฉีดวัคซีนโควิดให้กับประชาชนต่อไป เพราะต้องสร้างภูมิคุ้มโรคนี้ให้กับประชาชนหรือเรียก “ภูมิคุ้มกันหมู่” ให้ประชาชนทุกคนปลอดภัย ซึ่งโรคโควิดนี้คาดว่า จะต้องอยู่กับคนเราอีกยาวนาน ขณะนี้ไทย มีวัคซีน 2 ชนิด คือ ซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า ชนิดอื่น ๆ กำลังอาจจะตามเข้ามา ซึ่งต้องผ่านการพิจารณา ของ อย. ที่มีคณะผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อนอนุมัติใช้ในไทยต่อไป” นพ.ทวี กล่าว

นพ.ทวี กล่าวว่า จนถึงวันนี้ฉีดวัคซีนโควิดให้คนไทยแล้ว 1.3 ล้านโดส คิดเป็น 1.7% ของประชากร โดยในด้านประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค จากข้อมูลการวิจัยในประเทศบราซิลพบว่า 14 วันหลังฉีดเข็มแรก ป้องกันโรคได้เกือบ 50% และเมื่อฉีดเข็ม 2 ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 60% ซึ่งยอมรับได้

ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า จากการศึกษา เมื่อฉีดเข็มแรกครบ 3 สัปดาห์ จะเริ่มป้องกันโรคได้ และเมื่อครบ 12 สัปดาห์ หลังเข็มแรกจะป้องกันโรคได้ ถึง 70% ทั้งสองชนิดไม่แตกต่างกันมาก อยู่ในเกณฑ์ที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยยอมรับว่ามีประสิทธิภาพที่ดี

สำหรับคำถามว่าแล้วใช้ป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้หรือไม่นั้น ทั้ง 2 ชนิดสามารถรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ได้ มีการศึกษาวิจัยในจีน นำเชื้อและน้ำเหลืองของคนที่ฉีดซิโนแวค เปรียบเทียบกับผู้ที่หายป่วยแล้วพบว่าสามารถจัดการกับเชื้อได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ดีเท่าเชื้อดั้งเดิม

ขณะที่แอสตร้าเซนเนก้าป้องกันเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษได้ถึง 70% และป้องกันต่อเชื้อดั้งเดิมได้ 84% สำหรับวัคซีนที่จดทะเบียนทั่วโลกและทำในระยะที่ 3 เสร็จแล้ว มี 13 – 15 ตัว ที่กำลังใช้ในประเทศต่าง ๆ โดยทุกชนิดมีประสิทธิภาพคล้ายกัน คือ ป้องกันเสียชีวิต ป้องกันโรครุนแรง ไม่ต้องเข้าไอซียู ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ได้เกือบ 100% เป็นหัวใจของวัคซีนที่สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการต่อสู้กับโรคที่รุนแรงมาก ๆ เพราะคนไข้ที่อยู่ในไอซียู 1 คน ใช้ทรัพยากร บุคลากร ยา มหาศาล

นพ.ทวี กล่าวอีกว่า ด้านความปลอดภัยของวัคซีน พบว่า ซิโนแวคมีผลข้างเคียงน้อยกว่าแอสตร้าเซนเนก้า โดยพบประมาณ 20 – 30% เช่น ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยตามตัว หายภายใน 2 วัน ส่วนที่พบเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในโรงพยาบาล 2 แห่ง มีอาการคล้ายอัมพฤกษ์ คณะผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ พบว่า เป็นผลข้างเคียงจากความวิตกกังวล ส่งผลให้เกิดอาการทางกายคล้ายหลอดเลือดตีบได้ ซึ่งทุกคนหายเป็นปกติภายใน 1 – 3 วัน ผลการสแกนสมองปกติ

ส่วนแอสตร้าเซนเนก้า ผลข้างเคียงชนิดไม่รุนแรงที่เกิดขึ้นคล้ายซิโนแวค พบประมาณ 40 – 50% หายภายใน 48 ชม. ส่วนการเกิดลิ่มเลือดอุดตันนั้น ในคนเอเชียพบน้อย ส่วนใหญ่พบในชาวยุโรป แอฟริกา ผู้ป่วยเบาหวาน โรคหัวใจ สูบบุหรี่จัด จะเกิดลิ่มเลือดได้ง่าย มีรายงานในต่างประเทศพบการเกิดลิ่มเลือดประมาณ 4 รายในล้านโดส แต่หากเป็นโควิดโอกาสเกิดลิ่มเลือดประมาณ 125,000 ต่อล้านคน ที่ป่วยเป็นโควิดและในคนสูบบุหรี่จัด พบ 1,700 ต่อ 1 ล้านคนที่สูบบุหรี่จัด

ทั้งนี้ จากรายงานการฉีดวัคซีนล้านกว่ารายในประเทศไทย พบการแพ้วัคซีนรุนแรง (anaphylaxis) เพียง 7 – 8 ราย ไม่มีเสียชีวิต และมักเกิดในช่วง 30 นาที หลังฉีดวัคซีนซึ่งอยู่ในระยะสังเกตอาการ ทำให้แพทย์สามารถช่วยเหลือได้ทัน ส่วนคนที่แพ้อาหารทะเล ถั่ว หรือเป็นโรคภูมิแพ้ สามารถฉีดได้ เพราะวัคซีนไม่ได้ทำจากสัตว์ ยกเว้นผู้ที่เคยแพ้วัคซีนต้องปรึกษาแพทย์

สรุปการรับวัคซีนโควิดมีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตัวท่านเอง ป้องกันตัวเอง ป้องกันครอบครัวและป้องกันชุมชนสังคมเมื่อเทียบประโยชน์กับโทษแล้ว จะเห็นว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษอย่างมาก ทางการแพทย์จึงแนะนำอย่างยิ่ง

ส่วนจะเลือกฉีดตัวไหนดี ขอตอบว่าตัวไหนก็ใช้ได้ ดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนฉีดต้องรับข้อมูลให้พร้อม สิ่งสำคัญที่สุด การฉีดวัคซีน คนที่ฉีดจะป้องกันตัวเองได้ ป้องกันคนในครอบครัวได้ เพราะการระบาดระลอกนี้ คนวัยหนุ่มสาวติดเชื้อเยอะ นำเชื้อไปสู่เด็ก และผู้สูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัวเสียชีวิต รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคอ้วน มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30 หรือน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม ซึ่งความสามารถของปอดในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนน้อยลง

“การฉีดวัคซีน เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการต่อสู้กับโรคนี้ ช่วยควบคุมการระบาดได้ เราจะมีโอกาสดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กินข้าวนอกบ้าน ไปไหนมาไหนสะดวกใจได้ยิ่งขึ้น เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป” นพ.ทวี กล่าว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK