บรรดาบริษัทไฮเทคของจีน เร่งเดินหน้าหาทางผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นมาเอง หลังความตึงเครียดทางด้านการค้า และความกังวลด้านความมั่นคงของสหรัฐ ทำให้ความเสี่ยงถึงการจัดหาที่ตึงตัวมีเพิ่มมากขึ้น
เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า ไป่ตู้ ผู้ให้บริการเสิร์ชเอนจิ้นรายใหญ่ อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ และกรี อิเล็กทริค แอพพลายแอนเซส ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของจีน ล้วนอยู่ในกลุ่มบริษัทที่กำลังเดินหน้าพัฒนาชิปของตัวเองขึ้นมา ในช่วงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐ พยายามควบคุมอิทธิพลที่มากขึ้นของแดนมังกร ในด้านเทคโนโลยีชั้นนำ
รายงานระบุว่า แม้จะเป็นตลาดเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่สุดของโลก ด้วยสัดส่วน 40% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลก แต่จีนมีการจัดหาชิปที่ผลิตในประเทศเพียงแค่ 10% เท่านั้น และมียอดการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์มากถึง 260,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว สูงกว่าการนำเข้าน้ำมัน
ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีท้องถิ่นหาทางพึ่งพาตัวเอง หลังจากที่สหรัฐเดินหน้ากวาดล้างการทำข้อตกลงทางธุรกิจของบริษัทไฮเทคจีน
สียังตั้งเป้าหมายสำหรับการเพิ่มการจัดหาในประเทศให้ขึ้นมาอยู่ที่ 40% ภายในปี 2563 และ 70% ในอีก 5 ปีต่อจากนั้น แต่บริษัทก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคอีก จากการที่สหรัฐเริ่มควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิป
ความพยายามของบริษัทจีนในด้านนี้ รวมถึง การที่ไป่ตู้เปิดตัวชิป “คุนหลุน” สำหรับปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) ซึ่งชิปนี้สามารถนำไปใช้ในกระบวนการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ อย่าง เสียง หรือภาพ จากอุปกรณ์คลาวด์ เพื่อใช้งานในซอฟต์แวร์จดจำเสียง หรือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตในเชิงพาณิชย์ และวางจำหน่ายแต่อย่างใด
ส่วนอาลีบาบา ที่ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากลงไปกับบริการคลาวด์ ก็ได้เข้าสู่ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์เช่นกัน
เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา แจ็ค หม่า ประธานกรรมการบริหารอาลีบาบา มีประกาศออกมาหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐห้ามซัพพลายเออร์ในประเทศทำธุรกิจกับแซดทีอี ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมจีน ซึ่งทำให้บริษัทรายนี้ต้องระงับการผลิตสมาร์ทโฟน เพราะหาชิปจากบริษัทอเมริกันไม่ได้
“ตลาดชิปถูกควบคุมโดยอเมริกา และอยู่ดีๆ พวกเขาก็หยุดขาย” หม่า ระบุ
ในความพยายามที่จะแก้ไขความกังวลนี้ หม่าได้ว่าจ้างกลุ่มหัวกะทิจากบริษัทผลิตชิปสหรัฐ อย่าง เอ็นวิเดีย เพื่อจัดตั้ง ผิงทูเก้อ เซมิคอนดักเตอร์ขึ้นมา ให้เป็นหน่วยงานผลิตชิปในเครืออาลีบาบา ซึ่งบริษัทรายนี้มีแผนที่จะนำเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในเอไอ สำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ออกวางจำหน่ายภายในปี 2562
ขณะที่กรี อิเล็กทริค ก็ได้ลงทุน 1,000 ล้านหยวนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อให้หน่วยงานด้านเซมิคอนดักเตอร์ในเครือ ดำเนินการพัฒนาชิปขึ้นมา
ที่ผ่านมาบริษัทรายนี้มีการวิจัยในเรื่องของเซมิคอนดักเตอร์สำหรับใช้ในระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ แต่ยังได้ผลลัพธ์ไม่มากนัก แต่เมื่อเกิดกรณีแซดทีอีขึ้นมา ต่ง หมิงจู ประธานกรรมการบริหารกรี ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ของทางการจีนว่า บริษัทไม่หวาดกลัวกับการที่จะต้องลงทุน 50,000 ล้านหยวน เพื่อรับประกันถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีหลักๆ และประสบความสำเร็จในการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ ก่อนที่จะตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นานนัก เป็นหน่วยงานที่มุ่งเน้นเรื่องการออกแบบชิป แต่อาจจะเกี่ยวข้องกับการผลิตด้วย
บริษัทจีนรายอื่นๆ ที่กำลังเดินหน้าในเรื่องดังกล่าว รวมถึง คอนคา กรุ๊ป ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ก็ได้ตั้งหน่วยงานเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นมาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และพิจารณาที่จะเข้าซื้อกิจการในอุตสาหกรรมนี้ โดยตั้งเป้าที่จะทำยอดขายให้ได้ 10,000 ล้านหยวนภายในระยะเวลา 5-10 ปี
ล่าสุด หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ก็เพิ่งประกาศเมื่อเดือนตุลาคมว่า จะเริ่มผลิตชิปเอไอคุณภาพสูงในเชิงพาณิชย์ ซึ่งอีริค ซู่ ซีอีโอหัวเว่ย ชี้ว่า ระบบประมวลผลของหัวเว่ยได้ชื่อว่าทำงานเร็วสุดในโลก ดีกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งอย่าง เอ็นวิเดีย
