สธ. เร่งฉีดวัคซีน กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนในพื้นที่ระบาด และพื้นที่ท่องเที่ยว หวังเดินหน้าระบบเศรษฐกิจประเทศ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้จังหวัดท่องเที่ยว ได้รับการฉีดวัคซีนได้เร็วขึ้น เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว และระบบเศรษฐกิจประเทศเดินหน้าต่อได้ เช่น จังหวัดภูเก็ต ได้รับการฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรเป้าหมายแล้วเกือบทั้งจังหวัด เหลือเพียงประมาณร้อยละ 1 เท่านั้น
สำหร้บประเด็นที่มีข้อเสนอเรื่องการเร่งฉีดวัคซีน โดยให้เอกชนร่วมจัดหาวัคซีนนั้น ได้ประชุมคณะทำงานพิจารณาแนวทางการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีทั้งภาครัฐ เอกชน สภาหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมร่วมประชุม ได้ข้อสรุปว่า จะฉีดให้ครอบคลุมทุกคนในประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะฉีด 70 ล้านโดส จะเพิ่มให้ได้ 100 ล้านโดส ขณะนี้มีวัคซีน 65 ล้านโดส จะต้องจัดหาอีก 35 ล้านโดส
ทั้งนี้ ได้วางแนวทางการจัดหาวัคซีนไว้ 3 แนวทางคือ
1. ให้ภาครัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรม ไปจัดซื้อเพิ่มเติม ขณะนี้ได้เจรจาไปแล้วหลายบริษัท
2. ภาคเอกชน โดยสภาหอการค้า ยินดีบริจาคเงินให้รัฐบาลซื้อวัคซีน ฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย เช่น แรงงานในโรงงาน 10 ล้านโดส
3. โรงพยาบาลเอกชนขอจัดซื้อเอง เพื่อฉีดให้ผู้รับบริการของโรงพยาบาลเอกชน เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว
การฉีดวัคซีนอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน คือ .มีระบบการฉีดและดูแลความปลอดภัย ตาม 8 ขั้นตอนที่กรมควบคุมโรคกำหนด และต้องมีระบบรายงานเชื่อมต่อกัน รวมถึงต้องมีการติดตามอาการ หลังการฉีดวัคซีน
ด้านความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 22 เมษายน 2564 ฉีดสะสม 964,825 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 834,082 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 130,743 ราย
เฉพาะวันที่ 22 เมษายน ฉีดได้ 99,985 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 87,465 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 12,520 ราย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว 413,117 คน เข็มที่ 2 จำนวน 60,489 คน รวมแล้วกว่าร้อยละ 90
“จะเร่งฉีดให้บุคลากรส่วนที่ยังตกค้างในคลินิก ให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้เกิดความครอบคลุม รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ระบาด และจังหวัดท่องเที่ยว”นพ.โอภาส กล่าว
ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด 19 วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,070 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 1,902 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 160 ราย ต่างประเทศ 8 ราย รักษาหายเพิ่ม 341 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 4 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 21,320 ราย กำลังรักษา 19,873 ราย และเสียชีวิตสะสม 27 ราย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าการระบาดระลอกนี้ อัตราการเสียชีวิตมากกว่าปกติ มีอาการเปลี่ยนแปลงของโรค เช่น เกิดอาการปอดอักเสบค่อนข้างเร็ว ทำให้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเร็วขึ้น ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อศึกษาข้อมูลและนำไปปรับใช้ในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อต่อไป
ปัจจุบัน ขณะนี้ประเทศไทยได้ดำเนินการใน 4 มาตรการหลักเพื่อควบคุมโรค ได้แก่
- มาตรการสาธารณสุข ค้นหาผู้ป่วย ติดตามผู้สัมผัส กักกันโรค
- มาตรการทางสังคม ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ลดกิจกรรมรวมกลุ่ม หลีกเลี่ยงการเดินทาง
- มาตรการองค์กร ได้แก่ ทำงานที่บ้าน (Work from home) ให้มากที่สุด, จัดสถานที่ในที่ทำงานให้ปลอดภัย หากพบผู้มีความเสี่ยงหรือผู้ติดเชื้อในที่ทำงาน อย่าตระหนก ให้ประเมินความเสี่ยงและงดกิจกรรมรวมกลุ่มทุกกรณี
- มาตรการส่วนบุคคล สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนแออัด
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- กทม. ขอปัน วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 5 แสนโดส ล็อตเดือน มิ.ย. ฉีด 3 กลุ่มเสี่ยง
- อภ. แจงชัด วันหมดอายุ ‘วัคซีนซิโนแวค’ อายุเคลมแต่ละประเทศต่างกัน ไม่กระทบคุณภาพ
- ห่วงหนักมาก! คลัสเตอร์โควิด สถานดูแลผู้สูงอายุ ที่ปฎิบัติธรรม สั่งเข้มกิจกรรมทางศาสนา