COVID-19

รัฐบาลจีนให้ฟรี วัคซีนซิโนแวคไทย 5 แสนโดส สธ.แจงแผนเจรจาหาเพิ่ม 35 ล้านโดส เปิดรับทุกค่าย

รัฐบาลจีนให้ฟรี วัคซีนซิโนแวคไทย 5 แสนโดส อนุทิน ลั่นเจรจาไฟเซอร์ ต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เปิดกว้างเจรจา ด้านสธ. เปิดแผนหาวัคซีนโควิดเพิ่มอีก 35 ล้านโดส

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ได้รับจดหมายจากสถานทูตจีน ประจำประเทศไทย ว่า รัฐบาลจีนให้ฟรี วัคซีนซิโนแวคไทย อีก 5 แสนโดส และขอให้เรายืนยันว่า ยินดีจะรับ ซึ่งไม่มีเงื่อนไขในการรับ แต่เมื่อเขาให้มากขนาดนี้ เราก็พร้อมจะฉีดให้สำหรับทุกคนที่อาศัยในประเทศไทยอยู่แล้ว โดยในวันที่ 24 เม.ย. จะมีวัคซีนซิโนแวคเข้ามา 5 แสนโดส เป็นส่วนที่เราเจรจาได้ในก่อนหน้านี้

รัฐบาลจีนให้ฟรี วัคซีนซิโนแวคไทย 5 แสนโดส อนุทิน ลั่นเจรจาวัคซีนไฟเซอร์ ต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เปิดกว้างเจรจา ด้านสธ. เปิดแผนหาวัคซีนโควิดเพิ่มอีก 35 ล้านโดส

สำหรับการประชุมหารือร่วมกับ ตัวแทนผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นไปด้วยดี มีการทำความเข้าใจกัน เราก็บอกให้เขาทำข้อเสนอมาให้โดยเร็วที่สุด โดยการพูดคุยกับผู้จัดการบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) ถึงข้อเสนอต่างๆ สิ่งที่สำคัญที่สุด ยังเป็นเรื่องการจัดส่ง ว่าจะได้ส่งได้ในเวลาที่เป็นประโยชน์กับไทยหรือไม่ ซึ่งทางไฟเซอร์แจ้งว่า จะจัดส่งให้ได้ภายในปีนี้ น่าจะเป็นประโยชน์กับไทย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่า จะจัดส่งได้ในวันไหน แม้กระทั่งผู้ขายเองก็ไม่กล้าบอก โดยแจ้งว่า ไทยต้องเซ็นสัญญาที่จะไม่เปิดเผยข้อมูล (Confidential agreement) กับไฟเซอร์ก่อน ซึ่งเราก็จะบอกข้อมูลไม่ได้ ขณะเดียวกัน ก็ยังหารือกับผู้ผลิตรายอื่น ไม่ว่าจะเป็น ซิโนแวค, โมเดอร์น่า, สปุตนิกไฟว์ และแอสตร้าเซนเนกา

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า แผนการนำเข้าวัคซีนเพิ่มเติมของประเทศไทยอีก 35 ล้านโดส เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมของประเทศไทย โดยมีศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ซึ่งมีภาครัฐ เอกชน สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมฯ เข้าร่วมประชุม

2 8
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้สรุปว่า ต้องการฉีดวัคซีนโควิด ให้พี่น้องประชาชน ที่อยู่ในแผ่นดินไทยมากขึ้น จากเดิมตั้งเป้า 70 ล้านโดส ก็จะเพิ่มเป็น 100 ล้านโดส ขณะนี้มีวัคซีนแล้วประมาณ 65 ล้านโดส ดังนั้น จึงต้องจัดหามาอีก 35 ล้านโดส โดยมี 3 แนวทาง ดังนี้

1. ให้ทางภาครัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุข และองค์การเภสัชกรรมไปเจรจาเพิ่มเติม ซึ่งมีความก้าวหน้าหลายบริษัท

2. ทางภาคเอกชน โดยหอการค้าบอกว่า ยินดีบริจาคเงินให้รัฐบาลไปซื้อ และฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย คือ คนในโรงงานอีก 10 ล้านโดส

3. รพ.เอกชน จะขอจัดซื้อเอง โดยจะฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายของเขา เช่น คนที่มีโรคประจำตัวไปรักษาที่รพ.เอกชน ก็จะเอาวัคซีนนี้ไปฉีด เป็นต้น

ที่สำคัญคือ ทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน คือ

  • ต้องมีระบบการดูแลเรื่องความปลอดภัย ตามเกณฑ์ที่กรมควบคุมโรคกำหนด
  • ต้องมีระบบรายงานที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งอีกเรื่องที่สำคัญ คือ การออกหนังสือการฉีดวัคซีน
  • ต้องมีระบบติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน

ขณะที่การฉีดวัคซีนไปแล้วเกือบ 1 ล้านโดสแล้วนั้น ภาคเอกชนเข้ามาร่วมฉีดจำนวนมาก เช่น กทม. หรือการฉีดให้กับบุคลากรสาธารณสุข ทั้งรัฐและเอกชน  ก็ล้วนเป็นความร่วมมือที่ดี เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนครบถ้วน

ส่วนการเจรจาจัดหาวัคซีนนั้น ได้เปิดกว้างเจรจาหลายราย โดยหลักในการพิจารณาคือ เงื่อนไขเวลาในการได้รับวัคซีน ราคา และต้องมีแผนการจัดส่งที่ชัดเจน รวมถึงการพิจารณาความครอบคลุมต่อเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่ได้ซื้อมาเยอะ ๆ ทีเดียว เพราะเชื้อไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ในกรณีที่ รพ.เอกชน ไปเจรจาซื้อเองนั้น ต้องชี้แจงก่อนว่า เนื่องจากวัคซีนไม่ใช่สินค้าที่มีในท้องตลาด ดังนั้นต้องเจรจากับบริษัทผลิต ซึ่งเขาจะขายผ่านหน่วยงานรัฐ ดังนั้น หากภาคเอกชนไปเจรจามาได้ องค์การเภสัชกรรมจะเป็นผู้รับรองการซื้อให้ ยกเว้นว่าเอกชนจะมาขึ้นทะเบียนและนำเข้าเอง ก็ไม่ต้องซื้อผ่านองค์การเภสัชฯ แต่ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่ว่าไม่มีใครมาขึ้นทะเบียน

นพ.โอภาสกล่าว่า ส่วนเรื่องราคาที่ รพ.เอกชน จะคิดกับประชาชนที่มารับบริการฉีดนั้น ที่ประชุมได้มีการหารือว่า ในเวลานี้ไม่ควรจะเก็บจากประชาชนแพง ดังนั้น จึงมอบให้กระทรวงพาณิชย์ ไปดูแลเรื่องการกำหนดราคาวัคซีน ซึ่งตนไม่ทราบในรายละเอียด ว่าจะกำหนดเท่าไหร่ หรือต้องมีเพดานราคาเท่าไหร่

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo