กระทรวงสาธารณสุข จี้ เน็ตไอดอล หยุดชวนคนติดเชื้อกักตัวที่บ้าน เสี่ยงแพร่เชื้อต่อ ย้ำไม่มารักษาตามคำสั่งผิดกฎหมาย ห้ามคนติดเชื้อรักษาข้ามจังหวัด
วันนี้ (13 เม.ย.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์โรคโควิด 19 ยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องกระจายทั่วประเทศ และกระจายเป็นกลุ่มก้อนบางจังหวัดเท่านั้น ส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับสถานบันเทิง ผับบาร์ คาราโอเกะ และพบการระบาดที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เพิ่มขึ้นด้วย เช่น กลุ่มนักศึกษาออกค่าย พบการติดเชื้อในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น
การลดความเสี่ยงช่วงสงกรานต์ทำได้โดยคัดกรอง ควบคุม ติดตาม กำกับ กักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เน้นป้องกันตนเองตลอดเวลา หากจำเป็นต้องเดินทางเข้าที่ชุมชนและสถานที่สาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ จะช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ดี และหลังสงกรานต์ควรทำงานที่บ้านอย่างน้อย 2 สัปดาห์
นอกจากนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ในแต่ละจังหวัดมีความแตกต่างกัน ทรัพยากรแตกต่างกัน จึงจะไม่ใช้มาตรการปูพรมเหมือนกันทุกจังหวัด เพราะอาจจะไม่เหมาะกับทุกพื้นที่
สำหรับการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ยืนยันว่าให้อยู่ที่ รพ.เท่านั้น ไม่ให้กักตัวเองที่บ้าน ซึ่งการรักษานั้นตามปกติเราให้อยู่โรงพยาบาลประมาณ 10 วันก็กลับบ้านได้ เพราะโอกาสแพร่หมดไปแล้ว แต่สายพันธุ์อังกฤษที่มีการกลายพันธุ์ จึงอาจให้ผู้ติดเชื้ออยู่โรงพยาบาลนานขึ้นเป็น 14 วัน ซึ่งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญกำลังหาคำตอบว่า จะปรับอย่างไรเหมาะสม
ส่วน กทม. โรงพยาบาลเอกชนยังมีเตียงว่างหลักพันเตียง หากมีติดเชื้อมากขึ้น ได้จัดเตรียม Hospitel รองรับมากกว่า 4 พันเตียง และโรงพยาบาลสนาม ที่หลายหน่วยงานร่วมกันจัดตั้ง สำหรับดูแลผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ ขอความมั่นใจผู้ติดเชื้อทุกคนจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งมีเตียงเพียงพอ คำนวณคร่าว ๆ ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 30,000 เตียง เมื่อรักษาหายก็กลับบ้าน ทำให้มีเตียงหมุนเวียนเพียงพอ แต่ผู้ที่ยังไม่มีเตียงรักษา สามารถประสานหาเตียงได้ที่เบอร์ 1330 1668 และ 1669
อุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ก็ยังมีเพียงพอใช้ โดยหน้ากาก N95 มีพอใช้ 12 เดือน หน้ากากอนามัย มีใช้ 9 เดือน และชุด PPE เพียงพอใช้ 5 เดือน ยาฟาวิพิราเวียร์มี 575,000 เม็ด ตอนนี้สั่งเพิ่มอีก 500,000 นเม็ด เพื่อให้มีเพียงพอ
ส่วนห้องปฏิบัติการตรวจทุกจังหวัดมี 277 ห้อง วันหนึ่งตรวจได้ 81,700 ตัวอย่าง แม้ตอนนี้การตรวจค่อนข้างเยอะ 2-3 หมื่นตัวอย่าง ก็ถือว่ายังมีศักยภาพรองรับเพียงพอ
“ผู้ติดเชื้อทุกคนต้องอยู่โรงพยาบาลเท่านั้น เพราะตอนนี้พบว่า ผู้ติดเชื้อปอดบวม แต่ไม่มีอาการ โดยอาการสามารถรุนแรงขยายตัวได้รวดเร็ว จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น การที่วันนี้ไม่มีอาการ ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้จะไม่มีอาการ และผู้ติดเชื้อ มีเชื้อออกมาจากทางเดินหายใจ มีความเสี่ยงแพร่กระจายคนอื่น การดูแลใกล้ชิดเพื่อรักษา และควบคุมกำกับจึงสำคัญมาก”
“ประเทศไทยมีเตียงเพียงพอ มีอุปกรณ์ต่างๆ เพียงพอ อุปกรณ์เพียงพอ ไม่เหมือนหลายประเทศที่ผู้ติดเชื้อมากดูแลไม่ไหว จนต้องให้ไปดูแลที่บ้าน และย้ำว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่ออันตราย ถ้าเจ้าหน้าที่สั่งให้มารักษา แล้วไม่มารักษา ถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย เราไม่ค่อยอยากใช้มาตรการทางกฎหมาย เพราะฉะนั้นเน็ตไอดอลที่เชิญชวนให้ผู้ติดเชื้ออยู่บ้าน ไม่ติดต่อเจ้าหน้าที่ ขอให้หยุดการกระทำเด็ดขาด โดย สธ.หรือคนที่เกี่ยวข้องจะมีการติดต่อไปอีกครั้ง”
สำหรับกรณีที่ ผู้ติดเชื้อใน กทม.ไม่ประสงค์อยู่ Hospitel หรือโรงพยาบาลสนาม ขอเข้าโรงพยาบาลเอกชนจังหวัดอื่นแทน นพ.โอภาส กล่าวว่า โรคนี้เป็นโรคติดต่ออันตราย หลักการไม่อยากให้ย้ายข้ามจังหวัด เพราะทำให้อีกจังหวัดเสี่ยงมากขึ้น
การบริหารทรัพยากรแต่ละจังหวัดก็ไม่เหมือนกัน จังหวัดเล็กอาจมีเตียงว่าง หากมีผู้ติดเชื้อเข้าไปหนึ่งคนแล้ว สมมติเกิดแพร่กระจายออกไป อาจทำให้จังหวัดนั้นประสบความลำบากการควบคุมโรค ตอนนี้อยู่จังหวัดไหน ก็ขอให้อยู่จังหวัดนั้น จะไม่ย้ายข้ามจังหวัดโดยไม่จำเป็น ถ้ามีเหตุผลเฉพาะก็ว่ากันเป็นราย ๆ ไป
ขอทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำหรือข้อสั่งการเจ้าหนักงานโรคติดต่อ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และภาพรวม ตอนนี้อาจติดขัดเล็กน้อยไม่สะดวก เนื่องจากโรงพยาบาลหลายแห่งอาจไม่ตรงใจ ขอความร่วมมือ ถ้ามีปัญหาจะดูแลเป็นรายกรณี แต่ภาพรวมไม่ให้เดินทางข้ามจังหวัด
นพ.โอภาส ยังย้ำว่า โดยภาพรวมแล้ว เรื่องการเดินทางนั้นเดินทางได้ เพราะอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ แต่ถ้าการเดินทางมีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมา ก็ไม่มีการรายงานคนติดเชื้อบนเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินจากต่างประเทศ หรือเครื่องบินในประเทศ ทุกคนเคร่งครัดในการใส่หน้ากากอนามัย และตอนนี้ ห้ามมีการดื่มน้ำ ประทานอาหารบนเครื่องบินโดยเด็ดขาด
ส่วนกรณีที่จังหวัดชุมพรพบผู้ติดเชื้อไปบริจาคเลือด เรื่องนี้ก็ต้องดูเป็นรายกรณีเช่นกันว่า ตอนนั้นผู้บริจาครู้ตัวหรือไม่ อย่างไรก็ตามเลือดไม่ใช่ช่องทางหลักของการติเชื้อโควิด แต่โดยทั่วไปคนที่มีอาการไม่สบาย หรือมีอาการอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ไม่แนะนำให้มีการบริจาคเลือดอยู่แล้ว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สาหัส! นนทบุรีติดโควิดทั้งจังหวัด วันนี้ยอดพุ่ง 70 ราย
- กระบี่วุ่น! ส่งเด็กอนุบาลกว่า 60 คนตรวจหาเชื้อ-กักตัว หลังพบครูสาวติด ‘โควิด’
- อย่าทำแบบนี้! สาวรู้ตัวป่วย ‘โควิด’ บินตามแฟนหนุ่มกลับ ‘นครศรีธรรมราช’
