Politics

ยันไทยไม่ได้อยู่ในสถานะมีความเสี่ยงทางการคลัง พร้อมคง VAT ที่ 7%

“​โฆษกรัฐบาล” แจงประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสถานะความเสี่ยงทางการคลัง ย้ำเป็นการเสนอรายงานประจำปี ยืนยันสถานการณ์การคลังอยู่ในระดับปกติสอดคล้องกับอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา (30 มี.ค. 64) ซึ่งกระทรวงการคลังได้รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า เป็นการรายงานประจำปีปกติ ด้วยข้อกฎหมาย ตามมาตรา 78 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังกำหนดว่า ในเดือนมีนาคมของทุกปีกระทรวงการคลัง จะต้องทำรายงานความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการคลังประจำปี แสดงผลการประเมินความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากผลกระทบของเศรษฐกิจมหภาค ระบบการเงิน นโยบายของรัฐบาลและผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ ที่อาจจะก่อให้เกิดภาระทางการคลังของรัฐบาล และแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงนั้น

ทั้งนี้ เมื่อจัดทำรายงานเสร็จสิ้นแล้ว ให้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ

อนุชา2464

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การรายงานความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ใช่เพราะประเทศไทยอยู่ในฐานะที่จะต้องประเมินเรื่องความเสี่ยง แต่เป็นการเสนอรายงานประจำปี ซึ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งว่า สถานการณ์การคลัง ยังอยู่ในระดับปกติ สอดคล้องกับอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาล ที่ยังอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของโรค Covid- 19 อีกด้วย

สำหรับการจัดเก็บรายได้ ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 คาดการณ์ว่า การจัดเก็บรายได้ต่ำ จากสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวเนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค Covid- 19 ที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้ง ยังมีการขยายระยะเวลา ในการยื่นแบบแสดงรายการ และชำระภาษีผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาด Covid-19 ให้กับประชาชน และบริษัทต่าง ๆ ด้วย ซึ่งทำให้รายได้ภาษีบางส่วนในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีการย้ายไปชำระในเดือนมีนาคม 2564 แทน

ส่งผลให้ฐานะการคลังของรัฐบาลตามกระแสเงินสดในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 คือเดือนตุลาคม 2563 จนถึงกุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลได้มีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้นจำนวน 926,770 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน 1,460,827ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 386,810 ล้านบาท

ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 516,229 ล้านบาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับ 5 เดือนแรกในปีงบประมาณ 2563 จะเห็นว่า มีอัตราที่มากกว่าถึง 50.8% นอกจากนี้ ยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้ใช้จ่ายอีกที่สามารถนำมาเยียวยาประชาชนหรือกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปี 2564 จำนวน 220,000 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลยังไม่คิดที่จะปรับภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราปัจจุบันที่จะ 7% ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากระบบภาษีการค้า มาเป็นระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อปี 2535 ประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ไว้ที่ 10% ตามประมวลรัษฎากร แต่ได้มีการบรรเทาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นระยะ ๆ

ทั้งนี้ จากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ให้คงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ ในแต่ละประเทศมีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกันไป อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่นจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อัตรา 10% สิงคโปร์จัดเก็บที่ 7% มาเลเซียจัดเก็บที่ 6% ซึ่งไทยมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ด้านเศรษฐกิจ ไม่เป็นภาระแก่ประชาชนเกินจำเป็น และช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo