General

สร่างให้ไว! สงกรานต์ ปีนี้ ผุด ด่านชุมชนสกัดคนเมา ให้อำนาจผู้ว่าฯ กำหนดเวลาขายน้ำเมา

สงกรานต์ปีนี้ ผุดด่านชุมชนสกัดคนเมา คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ วางแนวทางควบคุมน้ำเมา 3 ระยะ เน้นขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ

ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2564 ใน 3 ช่วง คือ

สงกรานต์ 2021 ๒๑๐๓๓๑

1. ช่วงก่อนเทศกาลวันที่ 15 มีนาคม – 9 เมษายน 2564 เน้นรณรงค์ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ การไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี วิเคราะห์ความเสี่ยงการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และจุดเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนน

2. ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2564 เน้นบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การตั้งด่านชุมชนให้ อสม.ดูแลคนในครอบครัวและชุมชนไม่ให้ผู้ดื่มขับรถออกสู่ถนน, การส่งต่อผู้ถูกคุมประพฤติความผิดฐานเมาแล้วขับเข้ารับการบำบัด

นอกจากนี้ ยังเข้มงวดให้ตรวจวัดเลือดแอลกอฮอล์ ผู้บาดเจ็บทางถนน อายุต่ำกว่า 20 ปี ทุกราย หากปริมาณเกินมาตรฐาน ให้สอบสวนเอาผิดสถานที่ หรือบุคคลที่จำหน่าย หรือให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แก่เด็กและเยาวชน

3. ช่วงหลังเทศกาลวันที่ 17-23 เมษายน 2564 ให้สรุปข้อมูล เพื่อปรับปรุงมาตรการในปีต่อไป

ดร.สาธิต

นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับ มติคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ให้บูรณาการการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถกำหนดเวลาห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางวัน บางเวลา บางพื้นที่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หรือจัดทำข้อตกลงความร่วมมือการจัดงานบุญ ประเพณีปลอดเหล้า ปลอดภัย ปลอดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของพื้นที่นั้นๆ

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบ การใช้ยานาลเทรกโซน (Naltrexone) และยาอะแคมโพรเสต (Acamprosate) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดรักษาผู้ติดสุรา เนื่องจากในต่างประเทศมีการบรรจุยาทั้ง 2 ตัวในบัญชียาหลัก และพบว่าลดการเสพซ้ำได้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำบัดรักษาไม่เกิน 3,000 บาทต่อราย

สำหรับยาดังกล่าว มีแหล่งผลิตที่ประเทศอินเดีย และมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย จึงมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เร่งรัดการนำเข้าและขึ้นทะเบียนยา และจัดทำโครงการนำร่องการใช้ยาดังกล่าวในสถานบริการสาธารณสุขเพื่อใช้แทนยาเดิม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo