“ม.จ.จุลเจิม” ร่ายยาวด้านลบหากยกเลิก “มาตรา 112” สะเทือนประเทศไทยในเวทีโลก คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ แต่ประเทศหายนะ ชี้ต้องรักษา “สถาบันกษัตริย์” ไว้สูงสุด คนไทยถึงมีเกียรติ
วานนี้ (26 มี.ค.) ม.จ.จุลเจิม ยุคล (ท่านใหม่) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว จุลเจิม ยุคล ในประเด็นหัวข้อ “ควรยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ ?” มีเนื้อหาดังนี้
“ควรยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ ?
การยกเลิกมาตรา 112 มีผลทำให้ประมุขของรัฐซึ่งถูกจำกัดสิทธิที่จะคุ้มครองตนเองโดยฐานะของตนในทางพฤตินัย ไม่ได้รับความคุ้มครองและเสียสิทธิที่จะปกป้องตนเองในทางนิตินัยไปพร้อมกันด้วย
เพื่อประกอบการพิจารณาของท่านทั้งหลายไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1. ประเทศไทยกำหนดห้ามหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และห้ามหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาไว้ในมาตรา 326 ความว่า…………..
” มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี ”
” มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ “…..
ข้อแตกต่างของความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ กับบุคคลธรรมดาประการแรกก็คือ มาตรา 112 เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งหมายความว่า รัฐเป็นผู้เสียหาย และเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องดำเนินการกับผู้กระทำความผิด
ส่วนมาตรา 326 เป็นความผิดอันยอมความได้หรือความผิดต่อส่วนตัวซึ่งถ้าไม่มีผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่ดำเนินคดีให้ เหตุที่บัญญัติไว้แตกต่างกันเช่นนี้ เพราะไม่มีประเทศใดในโลกที่ประมุขของรัฐจะไปฟ้องร้องกล่าวโทษพลเมืองของตนเอง
หากการการยกเลิกมาตรา 112 ก็เท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิประมุขแห่งรัฐ ต่อ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่ให้สามารถที่จะคุ้มครองตนเองจากการถูกหมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ได้
ยิ่งกว่านั้นการ ” หมิ่นประมาท ” หมายความว่า ใส่ความโดยไม่เป็นความจริงในลักษณะที่ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังเกลียดชังผู้ถูกใส่ความ ซึ่งเป็นการกระทำอันชั่วร้ายผิดศีลธรรม การยกเลิกมาตรา 112 มีผลทำให้ประมุขของรัฐ (พระมหากษัตริย์ รวมถึงพระราชินี) ซึ่งถูกจำกัดสิทธิที่จะคุ้มครองตนเองโดยฐานะของตนในทางพฤตินัย ไม่ได้รับความคุ้มครอง และเสียสิทธิที่จะปกป้องตนเองในทางนิตินัยไปพร้อมกันด้วย
ข้อ 2.กฎหมายอาญาของไทยเป็นกฎหมายที่มีความเป็นสากล กล่าวคือ ให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐต่างประเทศ และผู้แทนของรัฐต่างประเทศด้วย ดังจะเห็นได้จากมาตรา 133 และ มาตรา 134 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
” มาตรา 133 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ”
” มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีหรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ”
แต่ถ้านายปิยบุตร และพรรคพวกคนรุ่นใหม่ชู 3 นิ้ว ต้องการยกเลิกมาตรา 112 เฉพาะมาตราเดียว ผลตามกฎหมายก็คือ ประเทศไทยได้ให้ความคุ้มครองแต่ ประมุขแห่งรัฐของต่างประเทศฝ่ายเดียว…… แต่จะไม่คุ้มครองประมุขของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัยของอารยประเทศอย่างยิ่ง ประชาคมโลกอาจจะหัวเราะเยาะประเทศเราก็เป็นได้ว่าไม่คุ้มครองประมุขของชาติตัวเอง แต่ดันไปคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต่างชาติ (ตาม มาตรา 133 และ มาตรา 134)
และหากจะยกเลิกมาตรา 133 และมาตรา 134 ไปพร้อมกับมาตรา 112 ผลที่ตามมาก็คือ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาสังคมโลก และจะไม่มีประเทศที่เจริญแล้ว ของประชาคมโลกคบค้าสมาคมด้วย เพราะเท่ากับไม่ให้เกียรติแก่ประมุขของพวกเขา ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศสูงสุดของประเทศเหล่านั้น หากประมุข (พระมหากษัตริย์)ของประเทศใดไร้เกียรติ พลเมืองของประเทศนั้นย่อมต่ำต้อยไร้ค่ากว่าพลเมืองของประเทศอื่นในโลก
ถ้าคนไทยยังรักที่จะเป็นคนที่มีเกียรติในสายตาของประชาคมโลก ประเทศไทยเราก็จะต้องรักษาเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศไว้สูงสุด จึงจะทำให้คนไทยมีเกียรติในสายตาประชาคมโลก เหมือนพลเมืองชาติอื่นในโลก
ในสังคมประชาคมโลก ระหว่างประเทศที่มีหลักในการอยู่ร่วมกันข้อหนึ่งคือ หลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน ( Reciprocity ) กฎหมายของประเทศที่เจริญแล้วในโลกไม่ว่าจะมีประมุข ไม่ว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือประธานาธิบดี หรือเรียกชื่ออื่นใดก็ตาม ย่อมถือว่าประมุขของประเทศตนได้เป็นตัวแทน หรือสัญลักษณ์ของประเทศนั้นๆ
แต่ละประเทศจะให้ความคุ้มครองสูงสุดแก่ประมุขของตน และให้ความคุ้มครองแก่ประมุขของประเทศอื่นพร้อมกันไปด้วย ประมุขของประเทศใดก็ตามย่อมถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศนั้นหากประมุขของประเทศใดไร้เกียรติพลเมืองของประเทศนั้นย่อมต่ำต้อยไร้ค่าไปด้วย กว่าพลเมืองของประเทศอื่นๆในสายตาสังคมโลก
ถ้าคนไทยยังรักที่จะเป็นคนที่มีเกียรติในสายสังคมโลก จึงจะต้องรักษาเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศไว้สูงสุด จึงจะทำให้คนไทยมีเกียรติเหมือนพลเมืองชาติอื่นในสังคมโลก
ประมุขของแต่ละประเทศทั้งที่ได้รับจากการเลือกตั้ง (ประธานาธิบดี) หรือโดยการแต่งตั้งล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ขวัญและกำลังใจของประเทศนั้นๆ ตลอดจนความภาคภูมิใจของพลเมืองประเทศนั้นๆ
ส่วนในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นก็คือ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขที่ได้รับการคัดเลือกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ (upernatural) ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการ และประกอบคุณงามความดีมาก่อน มีทศพิธราชธรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเหนือธรรมชาติ ประชาชนจึงคัดเลือกให้มาเป็นประมุข หรือพระมหากษัตริย์ ของพวกตนเพื่อปกครองพวกตน ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้
การแก้ไข หรือล้มเลิกกฎหมายใดๆ โดยไม่ได้ศึกษาถึงผลกระทบทั้งภายในประเทศ และในสังคมระหว่างประเทศ รวมทั้งโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม อาจทำให้บรรลุเป้าหมายด้านผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลบางคน บางกลุ่มเท่านั้น แต่อาจจะก่อให้เกิดความหายนะใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ และประชาชนส่วนใหญ่ สังคมโลกอาจจะหัวเราะเยาะเราเอาได้
สำหรับการแก้ไข ม.112 นั้น ผมเห็นด้วย โดยขอให้เพิ่มเติม ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ทั้ง“ในอดีต และปัจจุบัน” เข้าไปด้วย ส่วนการลดโทษลงบ้างอยู่ในดุลพินิจ ของท่านผู้พิพากษา แล้วแต่คดี จะหนักเบาเพียงใด
ม.จ. จุลเจิม ยุคล”
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ม็อบโดน 112 หนีออกนอกประเทศ ตำรวจเล็งฟันคดีหมิ่น #ม็อบ24มีนา
- ด่วน! ออกหมายจับ ม.112 ‘แอมมี่ The Bottom Blues’ เผาพระบรมฉายาลักษณ์
- ในหลวง โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘ม.จ.จุลเจิม-ม.จ.เฉลิมศึก-ม.จ.นวพรรษ์’ เป็นนายทหารพิเศษ