Politics

น้อมรับคำสั่งศาล! ‘ปารีณา’ พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

“ปารีณา” น้อมรับคำสั่งศาล  พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โพสต์ภาพตัวเองบนเฟซบุ๊ก หลังศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ 

วันนี้ (25 มี.ค.) ภายหลังศาลฎีการับคำร้องคดี นางสาว ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนใน จังหวัดราชบุรี และมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. นั้น

ปารีณา

ล่าสุด นางสาวปารีณา  เปิดเผยว่า ขอน้อมรับคำสั่งศาล โดยตนพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมั่นใจในระบบกระบวนการยุติธรรม

นอกจากนี้ บนเฟซบุ๊กส่วนตัว “ปารีณา ไกรคุปต์” นางสาวปารีณา ยังได้โพสตฺฺ์รูปภาพตนเอง กำลังนั่งอยู่ในสถานที่ ที่คาดว่าจะเป็นสภา โดยไม่มีการโพสต์ข้อความใด ๆประกอบ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังในช่วงเช้าวันนี้ ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะศาลฎีกาฯ มีคำสั่งรับคำร้องในคดีที่คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ นางสาวปารีณา  กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว และส่วนรวม

โดยเห็นว่า ป.ป.ช. บรรยายพฤติการณ์ชัดเจนดำเนินการครบถ้วน เกี่ยวกับระเบียบการดำเนินคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม จึงมีคำสั่งให้รับคำร้อง

ส่วนกรณีที่ผู้ถูกร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งไม่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำร้องยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ ที่จะให้ผู้ถูกร้องปฎิบัติหน้าที่ต่อเมื่อศาลฎีกาฯ มีคำสั่งรับคำร้องเเล้ว จึงยกคำร้องในส่วนนี้ และมีคำสั่งให้ น.ส.ปารีณา หยุดปฏิบัติหน้าที่ เเละเเจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ

พร้อมนัดไต่สวนพยานผู้ร้องอีกครั้ง วันที่ 30 เมษายน 2564 เวลา 9.30 น.

ป.ป.ช. ฟัน ปารีณา ผิดจริยธรรมร้ายแรง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ช.  แถลงว่า ป.ป.ช. มีมติว่า กรณีที่ นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ถูกกล่าวหาว่า ยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็น ส.ส.กระทำการอันเป็นการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนตน กับประโยชน์ส่วนรวม

ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง และกรณีเป็น ส.ส.กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย ต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการ ของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบ ข้อ 27 วรรคสอง

จากการไต่สวนปรากฏว่า นางสาวปารีณา ได้ร่วมกับนายทวี ไกรคุปต์ บิดา เข้ายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่จำนวน 711 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา โดยมีพฤติการณ์ ตั้งแต่ปี 2546 มีการขอใช้ไฟฟ้าต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจอมบึง และชำระภาษีโรงเรือน และที่ดินต่อ อบต.รางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เพื่อประกอบกิจการปศุสัตว์

ในปี 2549 – 2556  ชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ทั้ง 29 แปลง ต่อ อบต.รางบัว ซึ่งมีการกระจายการถือครองที่ดินดังกล่าว โดยอาศัยชื่อบุคคลอื่น ซึ่งเป็นแรงงานที่อยู่ในฟาร์ม มาถือครองที่ดินในเอกสาร ภ.บ.ท.5

จากนั้นในปี 2555 ได้มีการโอนกลับมาเป็นชื่อของ นางสาวปารีณา ทั้งหมด และในปี 2557 อบต.รางบัวได้ยกเลิกการเก็บภาษีบำรุงท้องที่ดังกล่าว แต่นางสาวปารีณา ก็ยังคงยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยไม่มีสิทธิครอบครอง และมิได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ และ ส.ป.ก. แต่อย่างใด

กระทั่งในปี 2555 – 2562 นางสาวปารีณา ได้ขออนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต่อ อบต.รางบัว และใบรับรองมาตรฐานฟาร์ม “เขาสนฟาร์ม” และ “เขาสนฟาร์ม 2” บนที่ดินดังกล่าว ต่อกรมปศุสัตว์ และในปี 2561 ได้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทปารีณา ไกรคุปต์ จำกัด เพื่อประกอบกิจการดังกล่าว

ปารีณา

จากนั้น เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 นางสาวปารีณา ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. โดยยังคงยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ ในที่ดินของรัฐดังกล่าว โดยอ้างเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินฯ (ภ.บ.ท. 5) ทั้ง 29 แปลง ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นพื้นที่ 711 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา คำนวณค่าเสียหายเป็นตัวเงิน จำนวน 36,224,791 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้ว เห็นว่า นางสาวปารีณา ในฐานะผู้แทน ของประชาชน จะต้องปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยปราศจากความขัดกันแห่งผลประโยชน์ และต้องประพฤติปฏิบัติตน ให้ถูกต้อง เป็นแบบอย่างที่ดี อยู่ในกรอบของจริยธรรม ในการดำรงตน เคารพ ยึดถือ และปฏิบัติ ตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งบัญญัติออกมาเพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือประโยชน์ของรัฐ มากกว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้อง

แต่นางสาวปารีณา กลับไม่ยึดถือระเบียบ หลักเกณฑ์ กฎหมาย และไม่ประพฤติปฏิบัติตน ให้เป็นแบบอย่างที่ดี ในการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ หรือเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดิน ที่มีเจตนารมณ์ เพื่อต้องการช่วยเหลือเกษตรกร ที่ประสบความเดือดร้อน และลดความเหลื่อมล้ำ ในฐานะของบุคคลในทางเศรษฐกิจและสังคม

จึงมีมติว่า เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรง โดยให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาโดยตรงเพื่อวินิจฉัยต่อไป

คดีดังกล่าวจะเป็นมาตรฐานใหม่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งกรณีของนางสาวปารีณา ถือเป็นสำนวนแรก ของ ส.ส. ในการกระทำผิดฝ่าฝืนจริยธรรมร้านแรง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo