Economics

‘เราเที่ยวด้วยกัน’ ปรับเงื่อนไขใหม่! จัดให้อีก 2 ล้านสิทธิ ใครได้บ้าง เช็คเลย!

ครม.ปรับเงื่อนไข “เราเที่ยวด้วยกัน” จัดให้อีก 2 ล้านสิทธิ เน้นสแกนใบหน้า จ่ายผ่านเป๋าตังและถุงเงิน พร้อมขยายระยะเวลาถึง 31 สิงหาคมนี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (23 มี.ค.) อนุมัติปรับปรุงรายละเอียด “โครงการกำลังใจ” และ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ดังนี้

“โครงการกำลังใจ” ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการกำลังใจ จากเดิมที่จะสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 เป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพื่อให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีระยะเวลาในการรวบรวมหลักฐานจากผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว เพื่อให้การจ่ายเงิน เป็นไปด้วยความรัดกุมและถูกต้อง

สำหรับผลการดำเนินโครงการกำลังใจ ณ วันที่ 8 มีนาคม 2564 มี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เดินทางและจ่ายเงินแล้ว 680,794 คน และที่เดินทาง และอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยยังไม่เบิกจ่ายอีก 6,183 คน

เราเที่ยวด้วยกัน

“โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ยกเลิกการจัดกิจกรรมกระตุ้นการเดินทางในรูปแบบ Consumer Fair จำนวน 3 ครั้ง วงเงิน 8.08 ล้านบาท ขยายสิทธิ์เพิ่ม 2 ล้านสิทธิ (จาก 6 ล้านเป็น 8 ล้านสิทธิ) ตั้งแต่ พฤษภาคม 2564 และขยายเวลาสิ้นสุดโครงการเป็น 31 สิงหาคม 2564 เพิ่มเติมมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริต ดังนี้

  • ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทย นำส่งข้อมูลจำนวนห้องพักของโรงแรม ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม กับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และขอสิทธิในการเข้าถึงฐานข้อมูล ภาพใบหน้าของประชาชน เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการยืนยันตัวตน ของผู้ใช้สิทธิในโครงการ ด้วยการสแกนใบหน้า เมื่อทำการเช็คอินห้องพัก เพื่อให้ธนาคาร สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงฐานข้อมูลดังกล่าวได้ เป็นการยกระดับการยืนยันตัวตน ของผู้ใช้สิทธิในโครงการให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น
  • ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ OTOP และผู้ประกอบการบริการที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ต้องตกลงให้ความยินยอมในการยอมรับหลักเกณฑ์ เงื่อนไข (Consent) ของโครงการ ที่จะจัดทำขึ้นใหม่ เพิ่มเงื่อนไขความรับผิดชอบและบทลงโทษกรณีมีการกระทำผิดเงื่อนไขหรือการกระทำทุจริตด้วย
  • ปรับระยะเวลาการจองห้องพักล่วงหน้าจาก 3 วัน เป็น 7 วัน
  • ปรับวิธีการชำระเงินค่าห้องพัก โดยให้ชำระผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” เพิ่มระบบการยืนยันตัวตนของผู้ใช้สิทธิโครงการ โดยผู้ใช้สิทธิต้องทำการสแกนใบหน้าเมื่อทำการเช็คอินห้องพัก
  • ปรับมูลค่าของ e-voucher ในลักษณะร่วมจ่ายในอัตรา 40% แต่ไม่เกิน 600 บาทต่อห้องต่อคืน (ราคาเดียวกันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด)
  • ยกเลิกการใช้สิทธิในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้าน ให้ใช้ e-voucher ในพื้นที่จังหวัดอื่นที่ไม่ใช่จังหวัดในทะเบียนบ้าน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ครม. ยังมอบหมายให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประสานธนาคารกรุงไทย เร่งพัฒนา ปรับปรุงระบบ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ให้สามารถเชื่อมโยงเข้าถึงฐานข้อมูล ยกระดับการยืนยันตัวตน ของผู้ใช้สิทธิ์ในโครงการ ให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีการระบุตำแหน่ง (GPS) มาใช้เพื่อระบุตำแหน่งในการยืนยันตัวตน ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการ มีความโปร่งใส รองรับการติดตาม ตรวจสอบ

รวมทั้ง กำหนดเงื่อนไขให้ประชาชน ไม่สามารถใช้สิทธิ์โครงการ พร้อมกันกับโครงการทัวร์เที่ยวไทย ในการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้เกิดการกระจายสิทธิ์ แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม สำหรับการชำระค่าบริการของทั้ง 2 โครงการจะต้องดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” เพื่อป้องกันการฉวยโอกาส จากการดำเนินโครงการของรัฐในทางมิชอบด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประชาชนที่สามารถลงทะเบียนได้มีเงื่อนไข ดังนี้

  • มีบัตรประจำตัวประชาชนและเป็นบุคคลสัญชาติไทย
  • อายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo