ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (17 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ดาวโจนส์ ขยับสูงขึ้น ส่วนเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก ปรับลดลง ผลจากการทะยานขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และก่อนหน้าที่ ธนาคารกลางสหรัฐ จะแถลงผลการประชุม ที่อาจส่งสัญญาณ เกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 32,952.18 จุด ปรับขึ้น 126.23 จุด หรือ 0.38% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 3,948.26 จุด ลดลง14.45 จุด หรือ 0.36% และดัชนีแนสแด็กที่ 13,314.84 จุด ร่วงลง 156.73 จุด หรือ 1.16%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีต่างปรับตัวลงในวันนี้ โดยได้รับผลกระทบ จากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่อยู่เหนือระดับ 1.67% ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 13 เดือนในวันนี้
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ต่างดีดตัวขึ้น ขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ตลาดจับตาการแถลงข่าวของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด หลังการประชุมวันนี้ เพื่อจับสัญญาณของเฟดเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในขณะนี้
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รถยนต์ของสหรัฐ ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้เม็ดเงินในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดน้อยลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
ถ้อยแถลงของนายพาวเวลในครั้งนี้ ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนกำลังกังวลว่า การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และตัวเลขเงินเฟ้อที่ส่งสัญญาณพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจผลักดันให้เฟด ยุติการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน หลังจากที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% ต่อไปอีกราว 2-3 ปี
นักลงทุนกังวลว่าเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นจากการที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ เฟดเคยส่งสัญญาณชะลอการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปี 2556 ซึ่งส่งผลให้เฟดลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความตื่นตระหนกจนทรุดตัวลงอย่างหนักในปีดังกล่าว
นายเอียน เชปเพิร์ดสัน หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Pantheon Macroeconomics กล่าวว่า เขาจะรู้สึกประหลาดใจ หากนายพาวเวลส่งสัญญาณว่าเฟดจะเข้าสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในขณะนี้
นายเชปเพิร์ดสันเชื่อว่า นายพาวเวลจะหาทางผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในตลาด แต่เขาจะไม่พูดว่าเฟดจะลดวงเงิน QE เนื่องจากหากนายพาวเวลกล่าวเช่นนั้น ก็จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นโดยทันที ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมตลาดหุ้นที่กำลังมีความกังวลเกี่ยวกับการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
นอกจากนี้ นายเชปเพิร์ดสันกล่าวว่า การที่นายพาวเวลจะยังไม่ส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินในวันนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงมีความไม่แน่นอน และเป็นเพียงการคาดการณ์ของตลาดเท่านั้น
ผลสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุว่า บรรดาผู้จัดการกองทุนมีความวิตกเกี่ยวกับความเสี่ยงจากเงินเฟ้อมากที่สุด ตามมาด้วยการที่เฟดอาจปรับลดวงเงิน QE ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 ร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 3
ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 37% แสดงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ขณะที่ 35% ระบุว่า มีความกังวลต่อการที่เฟดอาจปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดพันธบัตร
ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนไม่ถึง 15% ระบุว่า มีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงการกระจายวัคซีน โดยผู้ตอบแบบสอบถามที่แสดงความกังวลดังกล่าวลดลงราวครึ่งหนึ่งจากการสำรวจในเดือนที่แล้ว
ปัจจัยความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 หลุดจากอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในเดือนมี.ค. หลังจากที่ครองอันดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากขณะนี้สหรัฐมีการฉีดวัคซีนในวงกว้าง ส่งผลให้จำนวนผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และจำนวนผู้เสียชีวิตลดต่ำลง
ผลสำรวจยังพบว่านักลงทุนยังมีความวิตกปลีกย่อยเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท, การที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจประกาศขึ้นภาษีต่อชาวอเมริกัน รวมทั้งอาจคุมเข้มกฎระเบียบในภาคธุรกิจ
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 2% จะส่งผลให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลงมากกว่า 10% และหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งแตะ 2.5% จะทำให้นักลงทุนถอนตัวออกจากตลาดหุ้นเพื่อเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตร เนื่องจากมีความน่าดึงดูดมากกว่า
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- SET Index เดือน ก.พ. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% ดีกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค
- STGT จ่อนำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เดือน เม.ย.-พ.ค.นี้
- คาดเฟดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.25% ไม่หวั่นเงินเฟ้อพุ่ง เพื่อประคองเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว