ค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 เป็นต้นมา หลังรัฐบาลจีนลดระดับการตรึงค่าเงินประจำวัน ท่ามกลางสัญญาณว่า สงครามการค้ากับสหรัฐ อาจเพิ่มความรุนแรงมากขึ้่น
ระหว่างการซื้อขายในตลาดเซี่ยงไฮ้วันนี้ (30 ต.ค.) ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงมามากถึง 0.15% เคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 6.9724 หยวนต่อดอลลาร์ โดยเหลืออีกเพียง 0.5% ก็จะถึง 7 หยวนต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก
การอ่อนค่าดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ปรับลดอัตราอ้างอิงค่าเงินรายวัน ที่กำหนดการเคลื่อนไหวของเงินหยวนในตลาดท้องถิ่นให้เคลื่อนไหวขึ้นลงได้ไม่เกิน 2% ลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานด้วยว่า การอ่อนค่าข้างต้น ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐกำลังเตรียมพร้อมที่จะประกาศในช่วงต้นเดือนธันวาคม ถึงการเก็บภาษีทุ่มตลาดต่อสินค้านำเข้าจากจีนที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด หากการเจรจา 2 ฝ่าย ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนในเดือนพฤศจิกายนนี้ หาทางผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อฟ็อกซ์ นิวส์ว่า การทำข้อตกลงกับจีนจะต้องเยี่ยมยอด เพราะจีน “สูบ” จากสหรัฐไปมากแล้ว แต่เขาคิดว่า จีนคงยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้
นายเกา ชี่ นักกลยุทธ์ค่าเงินจากสโกเชียแบงก์ ในสิงคโปร์ แสดงความเห็นว่า แรงกดดันที่จะทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงมาอยู่อย่างมาก แต่เขาคิดว่า เงินหยวนจะไม่อ่อนค่าลงไปแตะระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ ก่อนที่ทรัมป์ กับสี จะพบปะกัน แต่ถ้าการประชุมล้มเหลวที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ ก็มีแนวโน้มอย่างมากที่เงินหยวนจะอ่อนค่าไปถึงระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ ในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา เงินหยวนอ่อนค่าลงไปแล้วราว 9% ทำให้เกิดการถกเถียงกันขึ้นว่า เงินสกุลหลักของจีนจะอ่อนค่าลงไปถึง 7 หยวนต่อดอลลาร์หรือไม่ และถ้าเกิดจะเกิดขึ้นเมื่อใด
