Finance

จับตา!! ‘กบข.’ เตรียมกวาด 10 หุ้นใหญ่เข้าพอร์ตสิ้นเดือนนี้

หุ้นที่คาดว่า กบข. จะเข้าซื้อลงทุน 01

ในเดือนตุลาคม 2561 ดัชนีหุ้นไทยผันผวนแรงจนกระทั่งปรับตัวลดลงไปแตะระดับต่ำกว่า 1,600 จุด และใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดในรอบปี 2560 ซึ่งการปรับตัวลดลงในครั้งนี้เกิดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นต่อเนื่องมากกว่า 2.6 แสนล้านบาท ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในประเทศยังคงแข็งแกร่ง

ล่าสุดการที่กองทุนบำเหน็ญบำนาญข้าราชการ (กบข.) ออกมาประกาศจัดตั้งพอร์ตลงทุน “ESG – Focused Portfolio” ด้วยเงินลงทุนตั้งต้น 1,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในหุ้นของ 33 กิจการที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกด้าน ESG โดยจะต้องเป็นบริษัทที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ (SETTHSI) และมีรายชื่ออยู่ใน SET100 ซึ่งเม็ดเงินก้อนนี้ กบข. จะหาจังหวะเข้าลงทุนทันทีภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้

นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า มุมมองของฝ่ายวิจัยถือเป็นปัจจัยหนุนเชิงบวกที่เกิดขึ้น เนื่องจาก หากเกิดขึ้นจริง กองทุนดังกล่าว จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และโฟกัสการลงทุนอยู่ในหุ้นเพียงไม่กี่บริษัท โดยจากการคัดกรองไปยังดัชนี SETTHSI ล่าสุดซึ่งมีสมาชิกอยู่ 45 บริษัท และนับเฉพาะบริษัทที่มีรายชื่ออยู่ใน SET100 ด้วยพบว่ามีอยู่ทั้งสิ้น 35 บริษัท แต่หากคัดกรองด้วยรายชื่อหุ้นยั่งยืนชุดใหม่ ที่เพิ่งประกาศออกมาล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะใช้เป็นตัวรวบรวม (Universe) สำหรับการจัดทำดัชนี SETTHSI รอบถัดไปอีกขั้น จะพบว่ามีหุ้นเหลืออยู่ทั้งสิ้น 31 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของกองทุนนี้

ทั้งนี้ จากรายชื่อ 31 บริษัทนี้ พบว่าหุ้นที่มีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market cap) สูงสุด 15 อันดับแรกได้แก่ PTT, AOT, ADVANC, PTTEP, KBANK, SCC, SCB, BBL, CPN, PTTGC

นอกจากนั้น หากเรียงลำดับด้วยความผันผวน (Laggard) ของราคาแล้ว พบว่าหุ้น 10 ตัวแรกจากรายชื่อ 31 บริษัทที่มีการปรับฐานลงมามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้แก่ PTTEP, MINT, IVL, BANPU, IRPC, PTT, SPALI, GFPT, BCP, CPN มองตัวที่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุนประจำธีมนี้ ได้แก่ PTT, PTTEP, CPN เนื่องจากเป็นทั้งหุ้นขนาดใหญ่ และราคายังคง Laggard ซึ่งน่าจะเป็นที่โฟกัสลำดับแรกๆของกองทุนนี้ โดยสำหรับ PTT และ PTTEP นั้น ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่าในช่วงถัดไปจะได้รับแรงสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่น่าจะปรับตัวขึ้นในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้อีกด้วย

ขณะที่ฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้ซื้อหุ้น PTT เนื่องจากได้ภายหลังจากการประชุม Conference call กับ PTT พบว่างบการเงินไตรมาส 3 ปี 2561 จะมีรายการรับรู้ทางบัญชี 2 รายการเกิดขึ้น ได้แก่ ภาษีจ่ายจากการขายหรือถ่ายโอนสินทรัพย์ของ PTTOR โดยคิดจากผลคูณระหว่างฐานภาษี (20%) กับผลต่างระหว่างมูลค่ายุติธรรม (Fair Value) และมูลค่าทางบัญชี (Book Value) ของ PTTOR  และภาษีรับจากการขาย หรือถ่ายโอนสินทรัพย์ของ PTTOR

ในเดือน พฤษภาคม 2562 จะรับรู้เงินสดทั้งหมดของภาษีจ่ายจากการขาย สำหรับในส่วนภาษีรับจะค่อยๆ รับ เงินสด ตามการดำเนินงานของ PTTOR ในอนาคต ทั้งนี้ ในช่วงเวลาไอพีโอของ PTTOR นั้น PTT ต้องจ่ายภาษี เท่ากับ ฐานภาษี (20%) กับผลต่างระหว่างราคาไอพีโอกับ ราคาพาร์ของ PTTOR ฝ่ายวิจัยมองว่า ผลกระทบสุทธิทางภาษีของทั้งสองส่วนที่จะเกิดขึ้นในงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2561 ของ PTT จะออกมาติดลบไม่มากนัก จึงยังคงแนะนำซื้อโดยราคาเป้าหมายเดิมที่ 64.30 บาท

บล.บัวหลวง ประเมินพื้นฐานหุ้น PTTEP ไว้ว่า ถึงแม้ว่ากำไรหลักในช่วง 9 เดือนแรกคิดเป็น 61% ของคาดการณ์กำไรหลักปี 2561 ที่ 48,805 ล้านบาท ยังคงประมาณการของไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากคาดกว่ากำไรหลักไตรมาส 4/61 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากงวดเดียวกันปีก่อน และไตรมาส 2 ปี 2561

ขณะที่มองว่าการเติบโตของกำไรหลักในไตรมาส 4 ปี 2561 จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น ทั้งนี้การรับรู้ราคาขายและปริมาณขายปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้กำไรปี 2562 เติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งหมายถึงว่าราคาหุ้นในปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่พีอีเรโช ปี 2562 ที่เพียง 9.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 12 เท่าค่อนข้างมาก นอกจากนี้แนวโน้มการเติบโตของปริมาณการผลิต หนุนโดยสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ใหม่น่าจะขยายฐานกำไรของบริษัทในอนาคต

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน ประเมินว่า พื้นฐานหุ้น CPN ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้จะมีกำไรหลักจะออกมาที่ 2,953 ล้านบาท หรือเติบโต 18.9% จากงวดเดียวกันปีก่อน ซึ่งสนับสนุนโดยรายได้จากการเช่าที่แข็งแกร่ง (เพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันปีก่อน) และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจอื่นๆที่มากขึ้น ซึ่งปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในอีก 2 ปีข้างหน้า ลง 1 – 3% สะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะน้อยลง จากแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราค่าเช่าที่ช้าลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายในและบริหารที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight