The Bangkok Insight

‘สหรัฐ’ สกัด ‘รัฐบาลทหารเมียนมา’ ถอนเงิน 1 พันล้านดอลล์ จากบัญชีแบงก์ชาติ

รัฐบาลทหารเมียนมา พยายามเคลื่อนย้ายเงินฝากมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ออกจากธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ก หลังจากทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ สามารถสั่งอายัดบัญชีไว้ได้ทัน

รอยเตอร์ส รายงานอ้างแหล่งข่าววงในว่า ธนาคารกลางเมียนมา พยายามถอนเงินในบัญชีดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่ถูกระบบป้องกันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สกัดเอาไว้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลจะถ่วงการอนุมัติเอาไว้ จนกระทั่ง ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ระงับธุรกรรมดังกล่าวโดยไม่มีกำหนด

รายงานเกี่ยวกับความพยายามของรัฐบาลทหารเมียนมาครั้งนี้ ไม่ได้เป็นข่าวก่อนหน้านี้ จนกระทั่ง กองทัพเมียนมาแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลางคนใหม่ หลังสั่งคุมขังเจ้าหน้าที่ ที่ให้การสนับสนุนการปฏิรูปในช่วงรัฐประหาร

shutterstock 1055599112

แผนการเคลื่อนย้ายเงินครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะจำกัดผลกระทบของมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจจากนานาประเทศ หลังกองทัพจับกุม นางอองซาน ซูจี ผู้นำโดยพฤตินัย ที่นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ชนะการเมืองตั้งอย่างถล่มทลาย เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่ทหารเมียนมาอ้างว่า การเลือกตั้งนั้นทุจริต แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งจะปฏิเสธคำกล่าวอ้างนั้นแล้วก็ตาม

รอยเตอร์ส ระบุด้วยว่า โฆษกของรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ยอมให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ และยังไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางเมียนมาได้

ทั้งนี้ สหรัฐ แคนาดา สหภาพยุโรป และอังกฤษ ประกาศใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อเจ้าหน้าที่กองทัพเมียนมาจำนวนหนึ่งไปแล้ว หลังการก่อรัฐประหาร และการปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายสิบราย โดยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตในเมียนมาไปแล้วไม่น้อยกว่า 54 ราย และมีผู้ถูกจับกุมไปแล้วกว่า 1,700 ราย ซึ่งรวมถึง ผู้สื่อข่าวจำนวน 29 รายด้วย

ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีออกมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น นายไบเดน ประกาศว่า สหรัฐกำลังดำเนินการต่าง ๆ เพื่อป้องกัน ไม่ให้นายพลกองทัพเมียนมาทั้งหลาย “เข้าถึง” เงินกองทุนรัฐบาลเมียนมามูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์ “อย่างไม่เหมาะสม”

แม้เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ จะไม่ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับแถลงการณ์ล่าสุดของผู้นำสหรัฐ แต่คำสั่งฝ่ายบริหารที่เผยแพร่ออกมา ระบุชัดเจนว่า ผู้ว่าการธนาคารกลางเมียนมา คือ ส่วนหนึ่งของรัฐบาลเมียนมาชุดปัจจุบัน ทั้งยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐ อายัดทรัพย์สินทุกชิ้นของรัฐบาลเมียนมา หลังรัฐประหารด้วย

โดยปกติแล้ว หน่วยงานของธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ก ที่เรียกว่าฝ่ายบริการธนาคารกลาง และบัญชีระหว่างประเทศ (Central Bank and International Account Services – CBIAS) เป็นผู้ดูแลจัดการเงินทุนสำรองของเมียนมา เช่นเดียวกับกรณีของธนาคารของประเทศต่างๆ หลายแห่ง ที่เก็บสำรองเงินสกุลดอลลาร์เอาไว้เพื่อการชำระเงินต่างๆ

แหล่งข่าวรายหนึ่งบอกกับ รอยเตอร์ส ว่า เหตุผลที่คำขอเคลื่อนย้ายเงินของรัฐบาลกองทัพเมียนมาถูกสกัดไว้เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์นั้น เป็นเพราะธุรกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเมียนมาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ต้องมีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษก่อนหน้าเหตุรัฐประหาร หลังจากเมื่อปีที่แล้ว เมียนมาถูกจัดให้อยู่ใน “รายชื่อสีเทา” ของ Financial Action Task Force (FATF) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศดูแลการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน โดยในกรณีของเมียนมานั้น เป็นประเด็นความเสี่ยงการเกิดการฟอกเงิน จากขบวนการค้ายาเสพติด

ตามคู่มือปฏิบัติงานของ CBIAS นั้น ธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ก มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการใด ๆ ก็ตามที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเจ้าของบัญชี และ “ในกรณีที่เหมาะสม” ฝ่ายกฎหมายของธนาคาร “จะทำการสื่อสารกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เพื่อหาความกระจ่างของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจมีผลต่อธนาคารกลาง (ของประเทศนั้น ๆ) และการควบคุมบัญชีที่เปิดไว้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ก ได้”

แม้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวนี้ แต่ รอยเตอร์ส ระบุว่า บรรดานายพลกองทัพเมียนมานั้น น่าจะเป็นผู้มีอำนาจควบคุมธนาคารกลางของประเทศอย่างเต็มที่ ในช่วงที่มีการยื่นเรื่องขอถอนเงินแล้ว

ก่อนหน้านี้ สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (Assistance Association for Political Prisoners) รายงานว่า หลังการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ รัฐบาลทหารเมียนมาสั่งควบคุมเจ้าหน้าที่ด้านเศรษฐกิจคนสำคัญๆ หลายคน ซึ่งรวมถึง นายโบ โบ เง รองผู้ว่าการธนาคารกลางสายปฏิรูป และพันธมิตรรายหนึ่งของ นางซูจี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo