Properties

แสนสิริผนึกโตคิว-สมิติเวชเปิด ‘เวลล์เนส เรสซิเดนซ์’ รับเทรนด์สุขภาพ

แสน1
แถลงข่าวแสนสิริ เปิด เวลล์เนส เรสซิเดนซ์

สังคมผู้สูงวัยกับความตื่นตัวเรื่องสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง หลายธุรกิจปรับตัวเข้ารองรับด้านสุขภาพมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีผู้ประกอบการใหญ่หลายรายหันมาเสริมพอร์ตด้านสุขภาพควบคู่แผนขยายธุรกิจ

ล่าสุดบมจ.แสนสิริ รุกจับมือกับพันธมิตร 2 ราย คือ โตคิว คอร์ปอเรชั่น ญี่ปุ่น และโรงพยาบาลสมิติเวช เปิดโครงการอสังหาฯ เซกเม้นท์ใหม่  “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” สู่ตลาดเป็นครั้งแรก

นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำดัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันคนให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยขึ้น แสนสิริจึงให้ความสำคัญด้วยการพัฒนาคอนโดที่มีบริการด้านสุขภาพ ที่เรียกว่า  “เวลล์เนส เรสซิเดนซ์” เป็นการพัฒนาที่ดินกว่า 7 ไร่ บนถนนกรุงเทพกรีฑา ขึ้นเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ พร้อมให้บริการด้านสุขภาพ เป็นครั้งแรกในตลาด

โครงการนี้เป็นความร่วมมือกับอีก 2 พันมิตร คือ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) และโรงพยาบาลสมิติเวช โดยในส่วนโตคิวได้ร่วมทุนกับแสนสิริ ในสัดส่วน แสนสิริ 70% โตคิวกรุ๊ป 29% และสหโตคิว 1% ก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา คือ บริษัท สิริทีเคโฟร์ จำกัด เป็นผู้บริหารโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ นำร่องการพัฒนาเป็นครั้งแรก

เบื้องต้นจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรส์ 8 ชั้น 3 อาคาร ที่จอดรถและพื้นที่ส่วนกลาง อีก 1 อาคาร  มูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายในปี 2562 ปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม และออกแบบในรายละเอียด ซึ่งจะต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่เพื่อเป็นฟังก์ชั่น ตอบสนองที่อยู่อาศัยที่สภาพแวดล้อมดี โดยคำนึงถึงคุณภาพอากาศ, น้ำ, แสงสว่าง, และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้

“โครงการนี้จะเป็นโครงการแรกที่ได้การรับรองด้าน  Well Certification ซึ่งเป็นมาตรฐานที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงสุขภาพ และเป็นเทรนด์ที่มาแรงระดับโลก” นายปิติ กล่าวและว่า ในหลายประเทศ โครงการที่อยู่อาศัยที่เป็น เวลล์เนส เรสซิเดนซ์ สามารถขายได้ในราคาสูงกว่าโครงการทั่วไป

San5
เซเลป-ดารา ร่วมงานแถลงข่าว เวลล์เนส เรสซิเดนซ์

นายปิติ กล่าวด้วยว่า แสนสิริ พัฒนาโครงการนี้ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ของผู้บริโภค ที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มทั่วโลก โดยในต่างประเทศมีโครงการอสังหาฯ ที่พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์นี้ได้การตอบรับที่ดีมาก แต่ในเมืองไทยยังไม่เคยมี

ข้อมูลจากสถาบันสุขภาพโลก (Global Wellness Institute) ระบุว่าตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา การพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มเวลล์เนส เพื่อความเป็นอยู่ดีทั่วโลก มีมูลค่าตลาด 4.4 ล้านล้านบาท อัตราการเติบโต 6.4% ต่อปี สูงกว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่เติบโตเพียง 1.5% เท่านั้น และสามารถทำกำไรได้เฉลี่ย 10-25% ปัจจุบันมีโครงการและชุมชนที่เน้นไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพกว่า 740 แห่งทั่วโลก

ด้าน นายชินจิ สึยามะ ผู้จัดการทั่วไป โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) กล่าวว่า โตคิวมีประสบการณ์พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพเป็นที่ยอมรับในประเทศญี่ปุ่น การเข้ามาร่วมทุนกับแสนสิริในครั้งนี้จะได้นำประสบการณ์ความสำเร็จ จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้ในการพัฒนาอสังหาฯ ในประเทศไทย ซึ่งที่ญี่ปุ่นโตคิวประสบความสำเร็จมากกับโครงการเมืองสุขภาพที่ชื่อว่า Tokyu Welina

นอกจากนี้โตคิว ยังมีการผสานองค์ความรู้ที่เรียกว่า “One Tokyu” นำความเชี่ยวชาญการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่คำนึงถึงการสร้างสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ โดยออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพร่างกาย มาใช้ในการออกแบบที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงสุขภาพ ช่วยยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ในโครงการให้ดีขึ้น

พ.ญ.สุรางคณา เตชะไพฑูร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช กล่าวว่า ข้อมูลจากทีดีอาร์ไอแสดงให้เห็นถึง ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยในอีก 15 ปีข้างหน้า ตามหลัก OECD จะมีค่าประมาณ 4.8-6.3 แสนล้านบาท ซึ่งสูงมาก

ดังนั้น วิธีดีที่สุดสำหรับการดูแลเรื่องสุขภาพ จึงควรเป็นวิธีป้องกัน ทำอย่างไรให้สุขภาพดี เพื่อไม่เจ็บไข้ได้ป่วย การมาร่วมกับแสนสิริครั้งนี้ ทางสมิติเวช จะเป็นพันธมิตร ช่วยเรื่องการดูแลป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย หรือหากลูกบ้านในโครงการเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ก็สามารถให้บริการได้รวดเร็วเพราะที่ตั้งโครงการ และโรงพยาบาลสมิติเวช อยู่ใกล้เคียงกัน แต่โดยหลักการแล้วจะเน้นที่การป้องกันการเกิดโรคมากกว่า เน้นที่สภาพแวดล้อมการอยูอาศัยที่ดี ไม่ก่อให้เกิดโรค

 

 

 

Avatar photo