Media

‘หนังไทย’ฟื้น!! ปี 61 ‘รายได้-มาร์เก็ตแชร์’โต 100%

อุตสาหกรรมหนังไทยเคยทำสถิติรายได้สูงสุดที่ 3,000 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด 35% ในช่วง 5 ปีก่อน หรือในปี 2556 ที่ภาพยนตร์เรื่อง “พี่มาก…พระโขนง” ทำรายได้แตะ 1,000 ล้านบาทสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการหนังไทย

แต่หลังจากนั้นหนังไทยกลับอยู่ในภาวะซบเซา กระทั่งปี 2560 ส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยลดลงเหลือ 11%  มูลค่าอยู่ที่ราว 1,000 ล้านบาท  แต่พบว่าปี 2561 มีสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวและเติบโตอีกครั้ง!!

พรชัย ว่องศรีอุดมพร
พรชัย ว่องศรีอุดมพร

พรชัย ว่องศรีอุดมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยปี 2561 เติบโตอย่างเห็นได้ชัด ช่วง 9 เดือนแรก มีภาพยนตร์ไทยทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท 4 เรื่อง ได้แก่ น้องพี่ที่รัก ของ จีดีเฮช, ไบค์แมน ศักรินทร์ ตูดหมึก ของเอ็ม  39, ขุนพันธ์ 2 ของสหมงคลฟิล์ม และ ๙ ศาสตรา ของ เอ็ม พิคเจอร์ส

ช่วงไตรมาส 4 มีโปรแกรมหนังไทยเตรียมลงจออีก 11 เรื่อง คาดว่าจะมีหนังไทยทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทอีก 3-4 เรื่อง ทำให้ปีนี้มีหนังไทยเกิน 100 ล้านบาท 7-8 เรื่อง  สูงกว่าปี 2560  ที่มีเพียง 3 เรื่อง คือ ส่ม ภัค เสี้ยน ของเอ็ม พิคเจอร์ส, Bad Genius ฉลาดเกมส์โกง ของจีดีเอช และ มิสเตอร์เฮิร์ท มือวางอันดับเจ็บ ของ ทรานฟอร์เมชั่น

หนังไทยทำเงินปี 2560 และ ปี 2561

ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หนังไทยที่มีโอกาสทำรายได้สูงคือ “นาคี 2” ซึ่งเข้าฉายไปเมื่อ 18 ตุลาคม 2561 สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมหนังไทย ทำรายได้เปิดตัววันแรกทั่วประเทศ 50 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 10 ปี  คาดตลอดโปรแกรมที่ฉาย 6-8 สัปดาห์รายได้อยู่ที่ 500 ล้านบาท และมีโอกาสลุ้นรายได้ 1,000 ล้านบาท ต่อจากเรื่อง “พี่มาก…พระโขนง” ที่ทำไว้ในปี 2556

นอกจากนี้ภาพยนตร์ไทยมีโอกาสทำรายได้สูงในไตรมาส 4 คือเรื่อง Homestay โฮมสเตย์” ของจีดีเฮช จะเข้าฉายในวันที่ 25 ตุลาคม, “โนราห์” ของ เอ็ม พิคเจอร์ส เข้าฉาย 1 พฤศจิกายน, “ไทบ้านเดอะซีรีส์ 2.2” เข้าฉาย 22 พฤศจิกายน , “ Gravity of love” และ ” สิงสู่ ” เข้าฉาย 29 พฤศจิกายน “หอแต๋วแตก แหกต่อไม่รอแล้วนะ” ของกูรู ฟิล์ม เข้าฉาย 5 ธันวาคม และ “ขุนบันลือ” ของ เอ็ม พิคเจอร์ส เข้าฉาย 27 ธันวาคมนี้

หนังไทยไตรมาสสุดท้ายจะทำรายได้ราว 1,000 ล้านบาท  ในจำนวนนี้มาจากเรื่องนาคี 2 กว่า  500 ล้านบาท หรือราว 50%

หนังไทย ปี 2561

ปี 61 หนังไทยรายได้ 2,000 ล้าน

สรุปภาพรวมปี 2561 มีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายรวม 43 เรื่อง แม้จะน้อยกว่าปี 2560 ที่มีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายรวม 48 เรื่อง แต่พบว่าสามารถทำรายได้รวมได้สูงกว่า  โดยปี 2560 หนังไทยทำรายได้เฉลี่ย 18 ล้านบาทต่อเรื่อง ปี 2561 รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านบาทต่อเรื่อง

ปีที่ผ่านมาหนังไทยทำรายได้ราว 1,000 ล้านบาท  มีส่วนแบ่งการตลาด 11% ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ปี 2561 คาดทำรายได้ 2,000 ล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาดขยับขึ้นมาเป็น  20-22% ของมูลค่าอุตสาหกรรมหนังไทยราว 9,000 ล้านบาท ปีนี้ถือว่าหนังไทยกลับมาฟื้นตัวและเติบโต 100%  ทั้งด้านรายได้และมาร์เก็ตแชร์ เมื่อเทียบกับปีก่อน

อุตสาหกรรมหนังในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เคยอยู่ในภาวะซบเซา ส่วนบางการตลาดลดลงมาอยู่ที่ราว 10%  เช่นกับตลาดหนังไทยในปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กลับมาครองมาร์เก็ตแชร์ที่ 50%  เชื่อว่าหนังไทยมีโอกาสครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 50% เช่นกัน

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ลาว

โรงภาพยนตร์ขยายทั่วประเทศดันตลาดหนังไทย       

ปัจจัยการเติบโตของหนังไทย  พรชัย มองว่ามาจากหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการขยายโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัด ทำให้เข้าถึงกลุ่มผู้ชมที่นิยมดูหนังไทยเป็นหลัก  ปัจจุบันโรงภาพยนตร์ของเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ในตลาดจังหวัดเข้าถึงระดับอำเภอ ครอบคลุม 53 จังหวัด  เดือนตุลาคม 2561 มีสาขาอยู่ที่ 115 สาขา จำนวน 747 โรง โดยมีสาขาในต่างจังหวัด  105 สาขา  นอกจากนี้เมเจอร์ฯ ยังขยายสาขาในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมาจากปัจจัยมีผู้สร้างและผู้ผลิตหน้าใหม่เข้ามาลงทุนสร้างภาพยนตร์ไทยอย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มทุนไทยและต่างชาติที่เข้ามาร่วมสร้างกับค่ายหนังไทย  ปีนี้บริษัทมีพันธมิตรสร้างหนัง คือ เวิร์คพอยท์ เรื่อง ไบค์แมนฯ ทำรายได้ 142 ล้านบาท และ เซิร์ช เอ็นเตอร์เทนเม้นท์และนายประวิทย์ มาลีนนท์ เรื่อง นาคี 2 ซึ่งทั้ง 2 รายมีสื่อในเครือที่แข็งแกร่ง สามารถช่วยโปรโมทหนัง

นาคี 2

บริษัทยังมีภาพยนตร์ที่ผลิตเองอีก 2 เรื่อง ที่จะเข้าฉายในไตรมาส 4  คือ ภาพยนตร์เรื่อง “โนราห์” กำกับโดย เอกชัย ศรีวิชัย และ “ขุนบันลือ” กำกับโดย หม่ำ เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา คาดว่าจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดได้อย่างดี

ปี 2562 เอ็ม พิคเจอร์ส  วางแผนผลิตภาพยนตร์ 12 เรื่อง ทั้ง โรแมนติก, คอมเมอร์ดี้ ดราม่า และสยองขวัญ เจาะกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม  โดยเตรียมงบลงทุนนำเข้าหนังต่างประเทศ 100 ล้านบาท และงบสร้างหนังไทย 300 ล้านบาท โดยมีทั้งการลงทุนเอง ร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตไทยทั้งรายเดิมและรายใหม่ นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรร่วมลงทุนจากต่างประเทศ เช่น ซีเจ เกาหลีใต้ , สิงคโปร์ และจีน  คาดว่าปี 2562 บริษัทจะมีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท

Avatar photo