เตรียมใจหรือยัง? วันที่ 16 ก.พ. “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” เริ่มเก็บ ค่าโดยสาร 104 บาทตลอดสาย “กทม.” ย้ำแล้วย้ำอีก ราคาเหมาะสมแล้ว!
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “รถไฟฟ้า BTS” จะปรับขึ้นอัตราค่าโดยสาร จากสูงสุด 59 บาทต่อเที่ยวในปัจจุบัน เป็น 104 บาทต่อเที่ยว
อัตราค่าโดยสารดังกล่าวนับเป็นภาระอันหนักอันอึ้งสำหรับกระเป๋าคนกรุงส่วนใหญ่ แต่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เจ้าของสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวก็ยืนยันว่า จำเป็นต้องเดินหน้าปรับขึ้นอัตราค่าโดยสาร เพื่อนำเงินมาจ่ายให้เอกชน โดยปัจจุบัน กทม. ติดหนี้ค่าเดินรถเครือบีทีเอส (BTS) อยู่เกือบ 9 พันล้านบาทและยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจ่ายเงินคืนอย่างไร
“กทม.” ย้ำอีกครั้ง! ค่าโดยสาร BTS เหมาะสมแล้ว
ล่าสุด กทม. ก็ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า ค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่จะเรียกเก็บจำนวน 104 บาทต่อเที่ยวตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป มีความเหมาะสมแล้ว
โดยนายประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กทม. ทยอยเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยาย) ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2561 และเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยในช่วงทดลองเปิดให้บริการ กทม. ไม่ได้เรียกเก็บค่าโดยสารมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน
เมื่อเปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบแล้ว ประกอบกับ กทม. มีภาระค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย จึงจำเป็นต้องเริ่มเรียกเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายสายสีเขียว ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป
ด้านผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนหลัก) ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และสะพานตากสิน-สนามกีฬาแห่งชาติ ยังคงเสียค่าโดยสารในอัตราเดิมและประชาชนจะจ่ายค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว ในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างส่วนหลักและส่วนต่อขยาย
ทั้งนี้ ถ้าคำนวณอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวสูงสุดตลอดสายจะรวมเป็นเงิน 158 บาท แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 กทม. จึงปรับลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายลงมาอยู่ที่ 104 บาท ซึ่งจะส่งผลให้ กทม. จะมีผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายประมาณปีละ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยเมื่อนับรวมตั้งแต่ปี 2564 – 2572 จะมีผลขาดทุนรวมประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
ที่ผ่านมา กทม. ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จากการปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยได้ศึกษาแนวทางการดำเนินการต่างๆ ซึ่งเห็นว่า แนวทางการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) เป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อให้ กทม. สามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ไม่เป็นภาระต่อประชาชนมากเกินไปและจะทำให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพต่อไป
“กทม.” แบกหนี้ “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” 1.2 แสนล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน กทม. มีภาระหนี้สินจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวกว่า 120,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย
- ภาระหนี้สินเดิมที่เกิดขึ้นจากการรับโอนโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ทั้งในส่วนเงินต้นค่างานโยธาที่ประมาณ 55,000 ล้านบาท และภาระดอกเบี้ยในอนาคตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท
- ค่าลงทุนในงานระบบ (E&M) ในส่วนต่อขยายที่ 2 ประมาณ 20,000 ล้านบาท
- ภาระหนี้ค่าจ้างงานเดินรถค้างจ่าย อีกประมาณ 9,000 ล้านบาท
- ภาระผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายในอนาคตตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2572 รวมอีกประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
ที่ผ่านมา กทม. พยายามเสนอวิธีแก้ปัญหา ด้วยการขยายสัญญาสัมปทานให้ BTS เพื่อแลกกับการที่ BTS จะมารับภาระหนี้ 120,000 บาทแทน กทม. และยังแบ่งรายได้จากค่าโดยสารหลังปี 2572 ให้ กทม. อีกกว่า 200,000 ล้านบาท โดย กทม. อ้างว่าแนวทางนี้จะทำให้สามารถปรับลดค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว เหลือ 65 บาทตลอดสาย
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ครม. ยังไม่เห็นชอบการขยายสัญญาสัมปทานให้ BTS ตามที่ กทม. เสนอ ด้านกระทรวงคมนาคมก็ออกโรงคัดค้านการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวอัตราใหม่ 104 บาท และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคมก็ได้คัดค้านการขยายสัมทานให้เครือ BTS
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- รวมไว้ที่นี่! โปรโมชั่น ‘บัตรเครดิต’ รูดซื้อตั๋ว ‘รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง’ สุดคุ้ม
- ‘BTS’ ประกาศ ‘ขยายเวลา-คืนเที่ยว’ ตั๋วรถไฟฟ้า เยียวยาปิดโรงเรียนสกัดโควิด
- ‘ศักดิ์สยาม’ สั่งซ่อมสถานี ‘รถไฟฟ้าสายสีแดง’ จี้อย่าทำ ‘สถานีกลางบางซื่อ’ ขาดทุน