ทำงานจากที่บ้าน ดันภัยคุกคามไซเบอร์พุ่ง ซิสโก้เผยองค์กรธุรกิจในเอเชีย-แปซิฟิก เผชิญความท้าทายยุคโควิด โดยเฉพาะประเด็น “การเข้าถึงอย่างปลอดภัย”
รายงานของ ซิสโก้ เรื่อง “อนาคตของการทำงานจากที่บ้านอย่างปลอดภัย” (Future of Secure Remote Work Report) เปิดเผยว่า องค์กรจำนวนมากในเอเชีย-แปซิฟิก ไม่มีความพร้อมในการรองรับการ ทำงานจากที่บ้าน ของพนักงาน ภายในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเกิดการแพร่ระบาด โดยองค์กร 54% อยู่ในสถานะที่มีความพร้อมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ 7% ไม่มีความพร้อมที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
รายงานดังกล่าวอ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารฝ่ายไอทีกว่า 3,000 คนทั่วโลก รวมถึงผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 1,900 คนใน 13 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก รายงานฉบับนี้ ยังเน้นย้ำถึงปัญหาท้าทายด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่บริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญ ในการจัดการให้พนักงานส่วนใหญ่ เปลี่ยนไปใช้วิธีทำงานจากที่บ้าน เป็นการเร่งด่วน
ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ใช้เชื่อมต่อจากภายนอกไฟร์วอลล์ขององค์กร ดังนั้นการเข้าถึงอย่างปลอดภัย (Secure Access) ซึ่งหมายถึงความสามารถในการตรวจสอบผู้ใช้ และการทำให้ผู้ใช้ไว้วางใจ ไม่ว่าผู้ใช้จะล็อกอินที่ไหน อย่างไร หรือเมื่อใดก็ตาม ถือเป็นความท้าทายด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่สำคัญที่สุด สำหรับองค์กรส่วนใหญ่ในเอเชีย-แปซิฟิก (63%) เมื่อต้องรองรับพนักงานที่ทำงานจากที่บ้าน
นอกจากนั้น องค์กรเหล่านี้ยังระบุถึงปัญหาอื่น ๆ เช่น ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (59%) และการรักษาอำนาจในการควบคุม และการบังคับใช้นโยบาย (53%)
นายเคอร์รี่ ซิงเกิลตัน กรรมการผู้จัดการฝ่ายไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของ ซิสโก้ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีน กล่าวว่า ปัญหาท้าทายที่สำคัญในเวลานี้ ได้เปลี่ยนไปสู่เรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้ กล่าวคือ เมื่อองค์กรต่าง ๆ มุ่งเน้นการใช้งานระบบคลาวด์ และการทำงานนอกสถานที่เพิ่มมากขึ้น พนักงานก็คาดหวังว่าจะสามารถทำงานได้จากทุกที่ บนทุกอุปกรณ์
ดังนั้น ระบบรักษาความปลอดภัย จึงเป็นรากฐานสำคัญ ที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ ในการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล โดยจะต้องสามารถตรวจสอบผู้ใช้ อุปกรณ์ แอพพลิเคชั่น ข้อมูลที่ผู้ใช้เข้าถึง และมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบรอบด้าน ที่ยืดหยุ่น เพื่อคุ้มครองผู้ใช้และองค์กรธุรกิจ โดยครอบคลุมตั้งแต่เครือข่าย ไปจนถึงอุปกรณ์ปลายทาง และระบบคลาวด์
ขณะที่การปกป้องอุปกรณ์ปลายทาง กลายเป็นปัญหาท้าทายที่สำคัญมากขึ้น สำหรับองค์กรต่าง ๆ เพราะผู้ใช้เชื่อมต่อจากเครือข่าย Wi-Fi ภายในบ้าน หรือใช้อุปกรณ์ส่วนตัว ในการเชื่อมต่อ กับแอพพลิเคชั่นของบริษัท
ผู้ตอบแบบสอบถาม กว่าครึ่งหนึ่ง ระบุว่า แล็ปท็อป เดสก์ท็อปของบริษัท (58%) และอุปกรณ์ส่วนบุคคล (57%) ก่อให้เกิดปัญหาด้านการความปลอดภัยในการทำงาน ที่มีการเชื่อมต่อจากระยะไกล รองลงมาคือ คลาวด์แอพพลิเคชั่น ซึ่งอยู่ที่ 52%
โอกาสในการปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคต
เทรนด์หนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็คือ สถานที่ทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Workplace) ที่ซึ่งพนักงานสามารถเลือกที่จะทำงานจากที่บ้าน หรือในออฟฟิศก็ได้ และนี่คือ เทรนด์แห่งอนาคต
โดยจากการสำรวจพบว่า หนึ่งในสาม (34%) ขององค์กรในเอเชีย-แปซิฟิกคาดว่า กว่าครึ่งหนึ่งของบุคลากรในองค์กร จะยังคงทำงานจากที่บ้านต่อไป ภายหลังการแพร่ระบาด เทียบกับ 19% ขององค์กรที่มีพนักงานกว่าครึ่งหนึ่ง ทำงานจากที่บ้านก่อนการแพร่ระบาด
สำหรับประเทศไทย สัดส่วนขององค์กร ที่คาดว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของพนักงาน จะทำงานจากที่บ้านอยู่ที่ 42% หลังการแพร่ระบาด ซึ่งเป็นตัวเร่งดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในทุกอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม พนักงานยังขาดความรู้ และการรับรู้ที่เพียงพอ
ทั้งนี้ 71% ขององค์กรไทยเผยว่า เป็นความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญ ในการสร้างโปรโตคอลด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ สำหรับการทำงานจากที่บ้าน และ 61% ขององค์กรระบุว่า การแพร่ระบาด จะทำให้การลงทุนด้านความไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในอนาคตเพิ่มมากขึ้น และไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ
นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน รักษาการกรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และอินโดจีน กล่าวว่า ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว เป็นประเด็นทางสังคมและเศรษฐกิจ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา ด้วยการทำงานรูปแบบใหม่ และการที่องค์กรในประเทศไทย กำลังเพิ่มการลงทุนด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ การเข้าถึงความปลอดภัย จึงเปลี่ยนจากการโฟกัสที่ภาคอุตสาหกรรม ไปเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อผู้ใช้มีการเชื่อมต่อจากระยะไกล ความท้าทายด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ที่องค์กรไทยส่วนใหญ่ต้องเผชิญคือ การเข้าถึงอย่างปลอดภัย (78%) รวมถึงการยืนยันตัวตน (65%) และการรักษานโยบายการควบคุมและการบังคับใช้ (63%)
การป้องกันปลายทาง เป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับองค์กร โดย 69% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า อุปกรณ์ส่วนบุคคล เป็นความท้าทายที่สุดในการทำงานระยะไกล ตามด้วยแอปพลิเคชันคลาวด์ที่ 63% ขณะที่แล็ปท็อป เดสก์ท็อปสำนักงานอยู่ที่ 58% และข้อมูลลูกค้า 51%
ข่าวดีก็คือ ขณะที่องค์กรธุรกิจเตรียมพร้อมสำหรับสถานที่ทำงานแบบไฮบริดนี้ ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ได้กลายเป็นภารกิจสำคัญสำหรับองค์กร โดย 85% ขององค์กรในเอเชีย-แปซิฟิกระบุว่า ไซเบอร์ซีเคียวริตี้มีความสำคัญอย่างมาก หรือมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อนการแพร่ระบาดล
ที่ดีไปกว่านั้นก็คือ องค์กรต่างๆ เตรียมที่จะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม โดยผลการสำรวจชี้ว่า 70% ขององค์กรในภูมิภาคนี้ มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในอนาคต สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับสัดส่วน 68% ในทวีปอเมริกา และ 52% ในทวีปยุโรป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- จับตาอนาคตยุคดิจิทัล กับการต่อกร ภัยคุกคามไซเบอร์ ด้วยเทคโนโลยี
- พนักงาน ‘WFH’ 73% ไม่ได้รับคำแนะนำให้ปลอดจากภัยไซเบอร์
- หอการค้า’ วอนเอกชน Work from Home ต่อ แม้คลายล็อกดาวน์เฟส 2